MSIG ตั้งเป้าเบี้ยปีนี้โตอีก 13% หรือ 3,500 ล้านบาท รุกขยายสาขาเพิ่มอีก 5 สาขา เน้นต่างจังหวัดใกล้ประเทศเพื่อนบ้านหวังรองรับ AEC
นายรัฐพล กิติศักดิ์ไชยกุล กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าเบี้ยประกันภัยไว้ที่ 3,500 ล้านบาท หรือ ประมาณ 13% ของปีที่ผ่านมา ซึ่งในปีที่ผ่านมาเบี้ยประกันอยู่ที่ 3,106 ล้านบาท หรือโตเพิ่มประมาณ 20-28% ขณะเดียวกันคาดว่าในปี 2557 เบี้ยประกันจะโตอยู่ที่ประมาณ 20% หรือ 4,200 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าการเติบโตจะมาจากรายย่อย และปี 2558 ตั้งเป้าการเติบโตเบี้ยไว้ที่ 5,000 ล้านบาท
โดยในปีที่ผ่านมาการเติบโตของประกันรถยนต์อยู่ที่ 50% และในปีนี้บริษัทเตรียมขยายช่องทางไปในต่างจังหวัดมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยจะเน้นลูกค้ารายย่อยที่มีกำลังซื้อสูงอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจที่มุ่งเน้น คือ ธุรกิจประกันอัคคีภัย ที่อยู่อาศัย และร้านค้า การประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล และการประกันภัยรถยนต์
“รถยนต์ในปีนี้เราคาดว่าจะโตไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากไม่ค่อยหวือหวา โอกาสขาดทุนมีมาก เพราะถ้าเบี้ยไม่พอเราคงไม่มีการกระจายรับทุกรุ่น ทุกแบรนด์ ซึ่งกลุ่มที่เราทำอยู่คือเครื่องยนต์ใหญ่ ซึ่งถ้าเป็นรถป้ายแดงที่ออกใหม่บริษัทคาดว่าจะให้บริการได้ไม่ทั่วถึง ดังนั้นบริษัทจึงจับเฉพาะกลุ่มที่เราถนัด”
นายรัฐพล กล่าวต่อว่า ในปีนี้จะขยายสาขาเพิ่มขึ้นไปอีก 5 สาขา เพื่อรองรับกับจุดเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน และรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ซึ่งบริษัทถือว่ามีความได้เปรียบ เนื่องจากบริษัทมีสาขา และสำนักงานตั้งอยู่ในประเทศที่เป็นสมาชิกของ AEC ถึง 9 ประเทศ
นอกจากการขยายสาขาเพิ่มแล้ว ในปีนี้บริษัทฯ ได้จัดทำแอปพิเคชันที่สามารถเคลมได้ในตัวและสามารถซื้อประกันภัยการเดินทางได้โดยตัดผ่านบัตรเครดิต ซึ่งในอนาคตบริษัทจะมีการพัฒนาต่อไปในด้านของการขายรถยนต์ด้วย
“ในปีนี้บริษัทฯ มีนโยบายที่จะขยายตลาดในทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นนายหน้าตัวแทน หรือผ่านธนาคารคู่ค้า และที่เน้นมาก คือ ตลาดต่างจังหวัดซึ่งยังมีศักยภาพสูง บริษัทได้เตรียมขยายสาขาเพิ่มอีก 5 สาขา เพื่อเสริมประสิทธิภาพการบริการทั้งลูกค้าและตัวแทนที่ร่วมขยายงานกับบริษัท โดยรวมแล้วการขยายงานผ่านตัวแทนที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ให้มีสัดส่วนเป็น 50% จากปี 2555 ที่มีอยู่ประมาณ 40% การขยายงานต่างจังหวัดจะมุ่งเน้นที่ลูกค้ารายย่อย ไม่ว่าจะเป็นการประกันภัยที่อยู่อาศัย ร้านค้า รถยนต์ และอุบัติเหตุส่วนบุคคล สำหรับการประกันภัยรถยนต์ของบริษัทยังสามารถขยายไปได้อีก เนื่องจากสัดส่วนการประกันภัยรถยนต์ขณะนี้ยังไม่ถึง 50% ในส่วนของการประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลก็ยังต้องการขยายมากขึ้นด้วยเช่นกัน”
กรรมการผู้จัดการกล่าวเพิ่มเติมว่า การเปิด AEC และการขยายสาขาไปต่างจังหวัด ส่งผลให้ประกันขนส่งจะได้รับอานิสงส์นี้ ซึ่งเราจะเห็นได้ชัดจากประเทศลาว และพม่า ซึ่งนักลงทุนเริ่มมีเข้ามามากขึ้น ต่อไปจะเริ่มไร้พรมแดนมากยิ่งขึ้น ดังนั้นในอนาคตการขายประกันผ่านทางออนไลน์จะมีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้นและสามารถทำได้ง่ายขึ้น
“เรามีบริษัทอยู่ 9 ประเทศในแถบเอเชีย เราไม่มีความกังวล ซึ่งเรามั่นใจได้ว่าเราจะได้ประโยชน์จาก AEC ซึ่งเราสามารถให้ความช่วยเหลือลูกค้าได้อย่างเต็มที่ถ้าลูกค้ามาจากลาวมาทำธุรกิจในประเทศไทยเราก็สามารถดูแลได้ นอกจากนี้แล้วมองว่าการเปิดเบี้ยรถยนต์เป็นเรื่องที่ดี ถ้าบริษัทไหนมีความพร้อมในด้านบริการ และมีวินัยด้านการจัดการจะสามารถอยู่ได้”
สำหรับในช่วงวิกฤตน้ำท่วมนั้น บริษัทยังไม่สามารถจ่ายเคลมประกันได้หมด ซึ่งขณะนี้เหลือแต่เฉพาะลูกค้ารายใหญ่หรือบริษัทอยู่ที่ประมาณ 400-500 ล้านบาท จากยอดเดิม 13,000 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถจ่ายได้หมดในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้
นายรัฐพล กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับบริษัท MS&AD ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ถือว่าเป็นกลุ่มประกันวินาศภัยที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และมีเครือข่ายประกันวินาศภัยใหญ่ที่สุดในเอเชียอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ โดยมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 11,445 พันล้านเยน