ปลุกชีพแบรนด์ AIG ใช้ชื่อแบรนด์เดิมรุกธุรกิจประกันภัยทั่วโลก หลังใช้เวลา 4 ปีแก้ปัญหาการเงิน ตั้งเป้า 5 ปีเบี้ยรับประกันในไทยโต 15-16% ต่อปี พร้อมขยายประกันรถยนต์เพิ่มมากขึ้น ระบุภาพรวมเบี้ยประกันภัยพิบัติเริ่มลดลง หลังปีที่แล้วไม่ค่อยมีเหตุการณ์ภัยพิบัติรุนแรง
นายโรนัลด์ เอ ฮิวดอน ประธานกลุ่ม เอไอจีประเทศไทย และผู้จัดการสำนักงานประเทศไทย บริษัท นิวแฮมพ์เชอร์ อินชัวรันส์ เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทแม่ในสหรัฐอเมริกาสามารถผลิกฟื้นสถานะทางการเงินจากวิกฤตการณ์ทางการเงินเมื่อปี 2008 และสามารถคืนเงินช่วยเหลือให้ทางการรัฐจำนวน 1.8 แสนล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ (5.5 ล้านบาท) ได้ภายใน 4 ปี
ล่าสุดได้มีแผนเปลี่ยนชื่อธุรกิจประกันวินาศภัยทั่วโลกกลับมาใช้ชื่อ AIG ตามเดิมอย่างเป็นทางการ ส่งผลให้ธุรกิจในประเทศไทยเองกลับเปลี่ยนมาใช้ชื่อ บริษัท เอไอจี ประกันภัย จำกัด(มหาชน) ตามเดิม ส่วนบริษัทนิวแฮมพ์เชอร์อิ นชัวรันส์อาจมีการปรับนำเอาชื่อของ AIG เข้าไปเสริมแต่คงจะไม่ทำการเปลี่ยนชื่อทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ไม่มีแผนจะควบรวมธุรกิจของบริษัทลูกในประเทศไทยทั้ง 2 แห่ง เนื่องจากบริษัทนิวแฮมพ์เชอร์เป็นสาขาจากสหรัฐฯ ที่เข้ามาตั้งอยู่ในไทย และส่วนใหญ่การปรับประกันแต่จะเป็นลูกค้ารายใหญ่ในเขตกรุงเทพมหานคร เนื่องจากไม่สามารถขยายสาขาเพิ่มเติมได้ แต่บริษัทเอไอจีประกันภัยสามารถที่จะขยายสาขาและทำการรับประกันในส่วนของลูกค้ารายย่อยรวมถึงพื้นืที่ในต่างจังหวัดได้ดีกว่า
“การกลับมาใช้ชื่อเดิมเป็นการยืนยันความเข้มแข็งของเอไอจี และต่อจากนี้อีก 5 ปีเรามีแผนการเติบโตในไทยให้ได้ 15-16% ต่อปี ซึ่งเรามองตลาดไทยยังมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก โดยที่ผ่านมาในไทยเราจะเติบโตจากกรมธรรม์ประกันการเดินทางเป็นหลัก แต่หลังจากนี้เราพร้อมที่จะขยายการรับประกันภัยรถยนต์ให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากเดิม”
นายโรนัลด์กล่าวอีกว่า ในส่วนของภาพรวมตลาดประกันภัยปัจจุบันเบี้ยการรับประกันภัยต่อได้ปรับตัวลดลงบ้างแล้ว และเชื่อว่าน่าจะมีการปรับลดอย่างต่อเนื่องหากไม่มีเหตุการณ์ภัยพิบัติใหญ่เกิดขึ้น ซึ่งสาเหตุที่เบี้ยประกันภัยต่อปรับตัวเพิ่มขึ้นมิใช่จะมาจากสถานการณ์เพียงแค่ในประเทศเดียวเท่านั้น การปรับขึ้นเบี้ยในช่วงที่ผ่านมาหากสังเกตจะพบว่า ในปี 2011 มีและเหตุการณ์ภัยพิบัติรุนแรงในหลายประเทศ ทั้งเหตุการณ์น้ำท่วมในประเทศไทย และออสเตรเลีย เหตุการณ์แผนดินไหวในญี่ปุ่น ส่งผลให้อัตราเบี้ยประกันภัยต่อปรับตัวขึ้นมาก
อย่างไรก็ตาม ในปี 2012 นั้นไม่ค่อยมีเหตุการณ์ภัยพิบัติรุนแรงเกิดขึ้น มีเพียงเฮอริเคนแซนดี้ในสหรัฐอเมริกา จึงส่งผลให้อัตราเบี้ยประกันภัยต่อค่อยๆ ปรับตัวลดลง และเชื่อว่าถ้าไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเพิ่มขึ้นในอีก 5 ปีต่อจากนี้เบี้ยการปรับประกันภัยต่อจะปรับตัวลดลงอีก
นายโรนัลด์ กล่าวอีกว่า ในการรับประกันภัยพิบัตินั้น บริษัทฯ มีความพร้อมและสามารถจะรับงานอยู่แล้ว ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทมีจุดแข็งที่เด่นกว่าบริษัทอื่นๆ คือไม่จำเป็นจะต้องพึ่งบริษัทประกันภัยต่อในต่างประเทศมากนัก โดยสามารถส่งต่อไปยังบริษัทแม่ได้ทันที และยังสามารถรับความเสี่ยงภัยได้สูงสุด 4.5 หมื่นล้านบาท