ASTVผู้จัดการรายวัน-คปภ.ฟันธงธุรกิจประกันภัยไทยปี56 กวาดเบี้ยรวมทะลุ 6 แสนล้านบาท ปัจจัยรถคันแรก-ดอกเบี้ยต่ำหนุนประกันชีวิต-ประกันภัยโตต่ออีก โชว์ประกันรถยนต์แจ่มครองแชมป์เบี้ยโตเยอะสุดในอาเซียน ขณะที่ภาพรวมปี55 เบี้ยทั้งระบบโตสุดเป็นประวัติการณ์ "ประเวช"ยันคดีเผาเซนทรัลเวิลด์-เซน ประกันภัยต่อต่างประเทศต้องทำตามกฎหมายไทย
นายประเวช องอาจสิทธิกุล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจประกันภัยในปี 2556 คาดว่าจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ในอัตราที่ชะลอตัวลง เนื่องจากฐานเปรียบเทียบที่สูงในปี 2555 และค่าใช้จ่ายของคนไทยที่เพิ่มขึ้นจากการผ่อนรถยนต์ผ่านโครงการรถคันแรก
อย่างไรก็ตาม คาดว่าในปีนี้จะมีเบี้ยประกันภัยรับจำนวน 6.60 แสนล้านบาท อัตราเติบโตประมาณ 16% แบ่งเป็นธุรกิจประกันชีวิต เบี้ยประกันภัยจำนวน 4.49 แสนล้านบาท อัตราเติบโตประมาณ 18% และธุรกิจประกันวินาศภัยเบี้ยประกันภัยจำนวน 2.11 แสนล้านบาท อัตราเติบโตประมาณ 15% และมีสัดส่วนเบี้ยประกันภัยต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศอยู่ที่ประมาณ 5.38%
"ธุรกิจประกันในปีนี้น่าจะเติบโตได้อีกจากปัจจัยรถยนต์แรกที่จะยังส่งผลดีต่อการประกันวินาศภัย นอกจากนี้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะปรับลดลงในไตรมาส 2 ของปีนี้น่าจะทำให้สินค้าประกันชีวิตได้รับความสนใจมากขึ้นด้วยเช่นกัน"
นอกจากนี้คาดว่าหากจีดีพีของประเทศมีการปรับเพิ่มขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้เป็น 6% จากเดิม 5.4% น่าจะทำให้เบี้ยประกันปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีก โดยเฉพาะเบี้ยประกันภัยรถยนต์ที่น่าจะได้รับผลดีมากที่สุด ซึ่งปัจจุบันการประกันภัยรถยนต์ของไทยถือว่ามีการเติบโตมากสุดเป็นอันดับที่1ของประเทศในกลุ่มภูมิภาคอาเซียน 10 ประเทศ และมีเบี้ยประกันภัยเป็น 60%ของเบี้ยรวมทั้งหมดของการประกันวินาศภัย โดยหากจีดีพีมีการปรับเพิ่มขึ้นก็น่าจะทำให้เบี้ยประกันวินาศภัยรวมแตะที่ 2 แสนล้านบาทได้
ปี55ประกันเติบโตสูงสุด
นายประเวช กล่าวอีกว่า สำหรับภาพรวมธุรกิจประกันภัยในปีที่ผ่านมาถือว่าเติบโตมากที่สุดเป็นประวัติการ และมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวมทั้งสิ้น 569,903 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 21.48% มี ส่งผลให้สัดส่วนเบี้ยประกันภัยต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศอยู่ที่ 5.02% ซึ่งนับเป็นปีที่ผ่านมีการขยายตัวสูงสุดตั้งแต่มีธุรกิจการประกันภัย
โดยแบ่งเป็นเบี้ยประกันภัยจากธุรกิจประกันชีวิต จำนวน390,474 ล้านบาท ขยายตัว 18.72% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็นผลจากการที่ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในธุรกิจประกันชีวิตซึ่งมีการพัฒนาช่องทางการขายให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการประกันภัยได้อย่างทั่วถึง และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สนองความต้องการของประชาชนได้เป็นอย่างดี
ประกอบกับมาตรการของภาครัฐที่ส่งเสริมให้ประชาชนหันมาออมเงินสำหรับวัยเกษียณผ่านการประกันชีวิต โดยให้สิทธิประโยชน์ ต่างๆ เช่น การให้สิทธิผู้ซื้อประกันชีวิตสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้
โดยการประกันชีวิตที่มีเบี้ยประกันภัยรับสูงสุด คือ การประกันชีวิตประเภทสามัญ จำนวน 329,665 ล้านบาท ขยายตัว 17.90% รองลงมาการประกันชีวิตประเภทกลุ่ม จำนวน 47,184 ล้านบาท ขยายตัว 31.53% และ การประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล จำนวน 5,333 ล้านบาท ขยายตัว 9.62%
ส่วนธุรกิจประกันวินาศภัย จำนวนรวมทั้งสิ้น 179,429 ล้านบาท ขยายตัว 27.96% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการประกันภัยรถมีเบี้ยประกันภัยรับสูงสุด จำนวน 103,874 ล้านบาท ขยายตัว 24.77% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องที่ 162.7% ในช่วงโค้งสุดท้ายของมาตรการคืนเงินภาษีรถยนต์คันแรก เดือนธันวาคม 2555 ซึ่งประชาชนต่างทยอยใช้สิทธิกันอย่างต่อเนื่อง รองลงมาการประกันภัยเบ็ดเตล็ด จำนวน60,606 ล้านบาท ขยายตัว 36.83% และการประกันอัคคีภัย จำนวน 9,759 ล้านบาท ขยายตัว 21.04%
นายประเวช องอาจสิทธิกุล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจประกันภัยในปี 2556 คาดว่าจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ในอัตราที่ชะลอตัวลง เนื่องจากฐานเปรียบเทียบที่สูงในปี 2555 และค่าใช้จ่ายของคนไทยที่เพิ่มขึ้นจากการผ่อนรถยนต์ผ่านโครงการรถคันแรก
อย่างไรก็ตาม คาดว่าในปีนี้จะมีเบี้ยประกันภัยรับจำนวน 6.60 แสนล้านบาท อัตราเติบโตประมาณ 16% แบ่งเป็นธุรกิจประกันชีวิต เบี้ยประกันภัยจำนวน 4.49 แสนล้านบาท อัตราเติบโตประมาณ 18% และธุรกิจประกันวินาศภัยเบี้ยประกันภัยจำนวน 2.11 แสนล้านบาท อัตราเติบโตประมาณ 15% และมีสัดส่วนเบี้ยประกันภัยต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศอยู่ที่ประมาณ 5.38%
"ธุรกิจประกันในปีนี้น่าจะเติบโตได้อีกจากปัจจัยรถยนต์แรกที่จะยังส่งผลดีต่อการประกันวินาศภัย นอกจากนี้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะปรับลดลงในไตรมาส 2 ของปีนี้น่าจะทำให้สินค้าประกันชีวิตได้รับความสนใจมากขึ้นด้วยเช่นกัน"
นอกจากนี้คาดว่าหากจีดีพีของประเทศมีการปรับเพิ่มขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้เป็น 6% จากเดิม 5.4% น่าจะทำให้เบี้ยประกันปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีก โดยเฉพาะเบี้ยประกันภัยรถยนต์ที่น่าจะได้รับผลดีมากที่สุด ซึ่งปัจจุบันการประกันภัยรถยนต์ของไทยถือว่ามีการเติบโตมากสุดเป็นอันดับที่1ของประเทศในกลุ่มภูมิภาคอาเซียน 10 ประเทศ และมีเบี้ยประกันภัยเป็น 60%ของเบี้ยรวมทั้งหมดของการประกันวินาศภัย โดยหากจีดีพีมีการปรับเพิ่มขึ้นก็น่าจะทำให้เบี้ยประกันวินาศภัยรวมแตะที่ 2 แสนล้านบาทได้
ปี55ประกันเติบโตสูงสุด
นายประเวช กล่าวอีกว่า สำหรับภาพรวมธุรกิจประกันภัยในปีที่ผ่านมาถือว่าเติบโตมากที่สุดเป็นประวัติการ และมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวมทั้งสิ้น 569,903 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 21.48% มี ส่งผลให้สัดส่วนเบี้ยประกันภัยต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศอยู่ที่ 5.02% ซึ่งนับเป็นปีที่ผ่านมีการขยายตัวสูงสุดตั้งแต่มีธุรกิจการประกันภัย
โดยแบ่งเป็นเบี้ยประกันภัยจากธุรกิจประกันชีวิต จำนวน390,474 ล้านบาท ขยายตัว 18.72% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็นผลจากการที่ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในธุรกิจประกันชีวิตซึ่งมีการพัฒนาช่องทางการขายให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการประกันภัยได้อย่างทั่วถึง และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สนองความต้องการของประชาชนได้เป็นอย่างดี
ประกอบกับมาตรการของภาครัฐที่ส่งเสริมให้ประชาชนหันมาออมเงินสำหรับวัยเกษียณผ่านการประกันชีวิต โดยให้สิทธิประโยชน์ ต่างๆ เช่น การให้สิทธิผู้ซื้อประกันชีวิตสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้
โดยการประกันชีวิตที่มีเบี้ยประกันภัยรับสูงสุด คือ การประกันชีวิตประเภทสามัญ จำนวน 329,665 ล้านบาท ขยายตัว 17.90% รองลงมาการประกันชีวิตประเภทกลุ่ม จำนวน 47,184 ล้านบาท ขยายตัว 31.53% และ การประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล จำนวน 5,333 ล้านบาท ขยายตัว 9.62%
ส่วนธุรกิจประกันวินาศภัย จำนวนรวมทั้งสิ้น 179,429 ล้านบาท ขยายตัว 27.96% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการประกันภัยรถมีเบี้ยประกันภัยรับสูงสุด จำนวน 103,874 ล้านบาท ขยายตัว 24.77% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องที่ 162.7% ในช่วงโค้งสุดท้ายของมาตรการคืนเงินภาษีรถยนต์คันแรก เดือนธันวาคม 2555 ซึ่งประชาชนต่างทยอยใช้สิทธิกันอย่างต่อเนื่อง รองลงมาการประกันภัยเบ็ดเตล็ด จำนวน60,606 ล้านบาท ขยายตัว 36.83% และการประกันอัคคีภัย จำนวน 9,759 ล้านบาท ขยายตัว 21.04%