xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่น กองทุนดัง หุ้นไทยแข็งแกร่ง ทริกเกอร์ฟันด์มาแรง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หลายๆ บลจ.เริ่มออกมาให้ความเห็นการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยกันพอสมควร เริ่มกันที่ บลจ.ธนชาต ซึ่งมองว่าหลังจากปัญหาหน้าผาการคลังของสหรัฐฯ เริ่มเห็นความเคลื่อนไหวที่ดี และดูมีทางออกในขั้นแรก ส่งผลให้มีเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยที่ยังมีความแข็งแกร่ง มีเสถียรภาพ หนี้สาธารณะไม่สูง การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนภายในประเทศจะเป็นตัวขับเคลื่อนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ที่จะส่งผลดีต่อหุ้นไทยบางกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากนี้
       
แม้ตลาดในปี 2556 จะยังคงผันผวนแต่ก็ยังเป็นขาขึ้น ประเมินดัชนีมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นไปถึง 1,550 จุด แม้จะยังมีความเสี่ยงจากปัญหาเศรษฐกิจต่างประเทศ แต่คาดว่าจะได้รับแรงหนุนจากสภาพคล่องที่จะไหลเข้ามาในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ยังมีความสามารถที่จะสร้างผลกำไรให้เติบโตต่อไปได้

ขณะที่ บลจ.ไอเอ็นจีก็เห็นพ้องกันว่า เศรษฐกิจไทยจะมีอัตราการเจริญเติบโตที่ 4.5-5.5% ใกล้เคียงกับปี 2012 จากการลงทุนภาครัฐและการลงทุนภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการกระตุ้นการบริโภคภาคประชาชนด้วยการลดภาษีบุคคลธรรมดา ซึ่งจะส่งผลให้อัตราการขยายตัวของกำไรของบริษัทจดทะเบียนยังคงมีทิศทางการเจริญเติบโตที่สูงจากการบริโภคและการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ เราคาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยในปี 2013 จะอยู่ที่ 19.1% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศเพื่อนบ้านซึ่งอยู่ที่ 13.6% เกือบ 6%
       
นอกจากนี้ Valuation ของตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของตลาดในภูมิภาค (MSCI Asia ex Japan) โดยอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (PER) ของไทยในปี 2013 อยู่ที่ 10.5 เท่า ขณะที่ค่าเฉลี่ยของตลาดในภูมิภาคอยู่ที่ 10.4 เท่า (ที่มา : UBS 28 พฤศจิกายน 2012) จากปัจจัยทั้งหมดสนับสนุนให้ตลาดหุ้นไทยเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นในเอเชียที่ยังคงสร้างผลตอบแทนสูง เนื่องจากอัตราการเจริญเติบโตของกำไรและอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลยังคงสูง ซึ่งเราเชื่อว่า SET Index มีโอกาสปรับตัวสู่ระดับ 1,524-1,550 จุดในอนาคต โดยมี Upside ประมาณ 8.31-10.16% ในปี 2013 และมีโอกาสสูงกว่าเป้าหมายดัชนี หากสภาพคล่องของโลกมีทิศทางที่เพิ่มขึ้นสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้

กลับมาทางฝั่งตลาดตราสารหนี้กันบ้าง โดยสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทยประเมินว่า ในปีนี้ตลาดจะยังมีความผันผวนจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปที่ยังมีปัญหาอยู่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในเรื่องการส่งออก เชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป ทั้งการอัดฉีดเงินเข้าระบบ และมาตรการดอกเบี้ย ซึ่งก็จะส่งผลให้สภาพคล่องในตลาดมีมากและทำให้เงินทุนจะวิ่งเข้ามาที่ตลาดเอเชียรวมทั้งประเทศไทยที่ยังมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดี ทำให้ตราสารหนี้ในประเทศไทยยังน่าลงทุน
       
อย่างไรก็ตาม เงินทุนที่ไหลเข้าเอเชียอาจส่งผลให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น ซึ่งประเทศไทยต้องจับตามองเรื่องการแข็งค่าของเงินบาท ขณะเดียวกัน มองว่าในปีนี้เศรษฐกิจไทยจะมีแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่มาจากราคาสินค้าและต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังหรืออาจจะมีเร็วในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ดังนั้นเป็นประเด็นที่รัฐจะต้องมองเรื่องการใช้นโยบายดอกเบี้ยเพื่อให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นและกระทบต่อค่าครองชีพ

ทางด้านสินค้าคอมมอดิตีอย่างทองคำก็ไม่น้อยหน้า โดยทิสโก้ เวลธ์คาดว่าราคาทองคำยังเป็น Top Pick ในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ โดยในปี 2555 ราคาทองคำโลกได้ปรับตัวสูงขึ้นมากกว่า 7% ในรูปสกุลเงินดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา และยังมีมุมมองเชิงบวกต่อราคาทองคำ เนื่องจากภาวะอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ระดับต่ำทั่วโลก ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวในปีนี้ ส่งผลให้แนวโน้มเงินเฟ้อมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่ดอกเบี้ยยังถูกกดดันให้อยู่ในระดับต่ำเพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน นอกจากนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนและอินเดียจะส่งผลบวกต่อความต้องการทองคำเพื่อการลงทุน และเครื่องประดับ ขณะที่ธนาคารกลางในหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะประเทศตลาดเกิดใหม่ คาดว่าจะยังต้องมีการสะสมทองคำเพื่อใช้เป็นทุนสำรองอีกมาก

ขณะเดียวกัน ในสัปดาห์นี้เราอาจจะได้ยินข่าวดีจากประเทศจีนกันมาบ้าง โดยเฉพาะเรื่องของจีดีพีของปีที่ผ่านมาขยายตัวที่ร้อยละ 7.8 หลังจากที่ไตรมาสสุดท้ายมีผลผลิตขยายตัวที่ร้อยละ 7.9

ทั้งนี้ มาร์ค วิลเลียมส์ จากแคปปิตอล อีโคโนมิกส์ กล่าวคาดการณ์ว่า เป็นไปได้ที่ครึ่งแรกของปีนี้เศรษฐกิจจีนจะโตที่ร้อยละ 8 และยังไม่เห็นความจำเป็นว่าจีนจะต้องออกมาตรการกระตุ้นอะไรในเวลานี้
       
ทั้งนี้ เศรษฐกิจที่ชะลอตัวตลอดปีที่ผ่านมาส่วนหนึ่งเป็นเพราะรัฐบาลพยายามควบคุมความร้อนแรงจนเกินตัวในภาคอสังหาริมทรัพย์ด้วย และภาวะเงินเฟ้อกระจายวงกว้างก็เป็นผลมาจากการกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2551 ประกอบกับการหดตัวของอุตสาหกรรมส่งออกจนทำให้คนตกงานจำนวนมาก
       
บรรดานักคาดการณ์ต่างเห็นว่า ครึ่งแรกของปีนี้เศรษฐกิจจีนจะฟื้นกลับมา แต่จะเป็นอย่างนั้นได้ต่อเมื่อว่าความต้องการในสินค้าส่งออกของจีนดีขึ้นด้วย ขณะที่มีผู้วิเคราะห์ว่า เศรษฐกิจจีนคงกู้คืนกลับมาได้แบบค่อยเป็นค่อยไป และคงไม่แข็งแรงพอที่จะกู้วิกฤตเศรษฐกิจในส่วนของสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป
       
เสวี่ยนฟาง เหริน นักวิเคราะห์ของโกลบอลอินไซต์ บันทึกในรายงานฯ ว่า “เศรษฐกิจยังไม่ได้พ้นจากรกพงนัก ขณะที่ดูเหมือนว่าการบริโภคในประเทศจะเริ่มกลับคืนมาแล้วก็ตาม”

สำหรับกองทุนเด่นในรอบสัปดาห์นี้คงหนีไม่พ้น กองทุนทริกเกอร์ฟันด์ หรือทาร์เกตฟันด์ ที่หลาย บลจ.พากันเปิดขายไอพีโอ ไม่ว่าจะเป็น บลจ.ไอเอ็นจี บลจ.ยูโอบี หรือ บลจ.ธนชาต แต่ที่แปลกกว่าใครเห็นจะเป็น บลจ.ทิสโก้ ที่มีนโยบายไปลงทุนทองคำแทนหุ้นไทย
กำลังโหลดความคิดเห็น