xs
xsm
sm
md
lg

แอสเซทพลัสเปิดขาย 2 กองทุนหุ้นไทย และเทศ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บลจ.แอสเซท พลัสลุยกองทุนหุ้น เปิดขายรวดเดียว 2 กองทุน “แอสเซทพลัสไพร์ม 3” เน้นลงทุนในหุ้นไทย เป้าหมายผลตอบแทน 9% เริ่มไอพีโอวันนี้-28 พ.ย. และกองทุนเปิด “แอสเซทพลัสสตาร์ 3” เน้นลงทุนในหุ้นต่างประเทศ โอกาสรับผลตอบแทนต่อเนื่องตลอด 1 ปี เมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้นทุกๆ 5% จากมูลค่าหน่วยลงทุนเริ่มต้น เสนอขายวันนี้-29 พ.ย.นี้

นางลดาวรรณ เจริญรัชต์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส จำกัด กล่าวถึงมุมมองของตลาดหุ้นไทยว่า ปัจจุบันนักวิเคราะห์หลายสำนักยังคาดการณ์ว่า SET Index อาจปรับฐานได้จากมุมมองการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง รวมถึงความกังวลในเรื่องข้อจำกัดการคลังในสหรัฐฯ

โดยนักวิเคราะห์ต่างๆ ประเมินว่า นักลงทุนอาจมีการขายทำกำไรบางส่วนก่อนที่ดัชนีจะเคลื่อนตัวออกด้านข้าง (Sideway) ในกรอบ 1,265-1,320 จุด ในลักษณะสร้างฐานเพื่อรอความชัดเจนจากปัจจัยต่างๆ และเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ลงทุน ซึ่งบริษัทฯ ประเมินว่าถือเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าเลือกสะสมหุ้นดีในราคาที่เหมาะสม โดยประเมินระดับดัชนีที่เหมาะสมในการเข้าลงทุนที่ระดับ 1,280 จุด เนื่องจากคาดว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนปี 2555 จะขยายตัวอยู่ประมาณ 20% และ 15% ในปี 2556 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตของการใช้จ่ายภายในประเทศ และนโยบายการลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งทำให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนปรับตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับอัตราการจ่ายเงินปันผลยังอยู่ในระดับสูงกว่า 4% และแนวโน้มการลงทุนในภูมิภาคเอเชียรวมถึงประเทศไทยอยู่ในทิศทางที่ดีจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ ซึ่งจะช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้

“ในด้านตลาดหุ้นต่างประเทศ ประเมินว่าในปี 2556 เป็นโอกาสที่ดีในการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ โดยนักวิเคราะห์คาดว่าดัชนี S&P500 จะปรับฐานลงอยู่ที่ 1,250 จุดในปลายปีนี้จากแรงขายระยะสั้นในช่วงที่ตลาดรอดูความชัดเจนเกี่ยวกับปัญหา US fiscal cliff ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่ดีในการหาจังหวะเข้าลงทุนในหุ้นที่มีธุรกิจระดับโลก และมีศักยภาพในการทำกำไร โดยบริษัทฯ ให้ความสนใจตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง จากแนวทางปฏิรูปเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ที่จะสร้างเสถียรภาพทางการเงิน และการคลังให้แก่จีนมากขึ้น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวจากมาตรการ QE3 ที่ผลักดันธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และการจ้างงาน ตลาดหุ้นยุโรป ซึ่งการชะลอตัวของยุโรปส่งผลบวกต่อธุรกิจวาณิชธนกิจจากการควบรวมกิจการ และการปรับโครงสร้างทางการเงิน และตลาดเอเชีย ที่ยังสามารถสร้างโอกาสในธุรกิจ และมีแนวโน้มเติบโตได้ดีในอนาคต” นางลดาวรรณกล่าว

นางลดาวรรณกล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ จึงเล็งเห็นว่าช่วงนี้เป็นจังหวะเหมาะที่จะเข้าลงทุนในหลักทรัพย์เป้าหมายที่มีระดับราคาน่าลงทุน และมีเป้าหมายเพื่อสร้างผลตอบแทนจากการเน้นลงทุนหุ้นรายตัว โดยไม่เทียบกับการปรับตัวของตลาด บริษัทฯ จึงเปิดเสนอขาย 2 กองทุนเพื่อสนองตอบความต้องการของผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นไทย และหุ้นต่างประเทศ ได้แก่ ตั้งแต่วันนี้ ถึง 28 พฤศจิกายน บริษัทฯ เสนอขายกองทุนเปิดแอสเซทพลัสไพร์ม 3 (ASP-PRIME 3) เป็นกองทุนผสมที่สามารถปรับสัดส่วนการลงทุนในหุ้นได้ 0-100% ที่เน้นลงทุนในหุ้นไทย และมีเป้าหมายสร้างผลตอบแทน 9% ใน 1 ปี

โดยกองทุน ASP-PRIME 3 จะเน้นลงทุนในหุ้นขนาดกลาง และขนาดเล็ก ซึ่งคาดว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดี โดยในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้ากลุ่มธุรกิจที่บริษัทฯ ให้ความสนใจให้น้ำหนักการลงทุนคือ หุ้นกลุ่มสื่อสาร หุ้นอสังหาริมทรัพย์ และหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง รวมถึงหุ้นที่ผลประกอบการจะมีการฟื้นตัว ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวจะเพิ่มโอกาสให้ผู้ลงทุนได้รับกระแสเงินสดใช้ระหว่างทาง ด้วยการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติครั้งแรกเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนผ่าน 10.50 บาท และรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติทั้งหมด และเลิกกองทุนเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้นผ่าน 10.90 บาท หรือเมื่อครบ 1 ปี แล้วแต่เหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นก่อน โดยเริ่มไอพีโอแล้ววันนี้ ถึง 29 พฤศจิกายน 2555

“กองทุน ASP-STARS 3 ผู้จัดการกองทุนจะบริหารพอร์ต และจับจังหวะการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทน โดยใช้หลักการเลือกตลาดที่จะเข้าลงทุน เลือกอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ และเลือกบริษัทที่แข็งแกร่ง โดยจะเน้นลงทุนในหุ้นของประเทศที่เศรษฐกิจมีการฟื้นตัว ได้แก่ หุ้นจีน (ฮ่องกง H-Share) โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ชั้นนำ ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากแนวทางปฏิรูปเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ และธุรกิจประกันชีวิต ที่ได้รับอานิสงส์จากการยกระดับสวัสดิการภาคบังคับ หุ้นวาณิชธนกิจและสถาบันการเงินโลกที่มีโอกาสเติบโตจากการฟื้นตัวของยุโรป หุ้นส่งออกยุโรป เช่น หุ้นในกลุ่มยานยนต์ ที่ได้รับผลดีจากค่าเงินยูโรที่อ่อนตัวลง และหุ้นคุณค่าระดับโลก ที่เป็นบริษัทที่มีฐานธุรกิจแข็งแกร่งสามารถทำกำไร และสร้างเม็ดเงินเพื่อการเติบโตในอนาคตได้” นางลดาวรรณกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น