ดร.โกร่งโปรยยาหอม มั่นใจเศรษฐกิจไทยปีหน้าเติบโตกว่าปีนี้แน่นอน หลังรัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ การขยายตัวของสินเชื่อ การใช้จ่ายเพิ่ม รวมถึงอุตสหกรรมการท่องเที่ยวดีขึ้น พร้อมมองต่างชาติจะเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้นหลังค่าแรงและค่าพลังงานในต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น
นายวีระพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ กล่าวว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในปีหน้าน่าจะเติบโตกว่าปีนี้ โดยภาพรวมเศรษฐกิจโลกแม้ว่าจะยังมีปัญหาอยู่บ้าง ซึ่งในส่วนของสหรัฐฯ แม้ว่านักลงทุนยังมีความกังวลเรื่องหน้าผาการคลัง ซึ่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งบรูซ โอบามา ต่างใช้มาตรการผ่อนผันทางการเงิน เช่น การลดภาษี ซึ่งจะหมดอายุในไตรมาสแรกของปี 56 ขณะเดียวกัน การที่โอบามาชนะการเลือกตั้งพร้อมประกาศนโยบายที่สวนทางกับนักการเงิน การคลัง ไม่ว่าจะเป็นมาตราการตัดรายจ่ายภาครัฐ เพิ่มภาษีคนรวย ซึ่งแตกต่างจากนโยบายคู่แข่ง แต่ในขณะเดียวกัน ท่ามกลางความกังวลเรื่องหน้าผาการคลัง สหรัฐฯ เองมีข่าวดีเกี่ยวกับพลังงาน คือการลดต้นทุนการผลิตก๊าซธรรมชาติ น้ำมันที่มาจากหิน น้ำมันไม่ใช่ฟอสซิล ส่งผลให้ในอนาคตสหรัฐฯ ลดการนำเข้าพลังงานจากตะวันออกกลาง และคาดว่าอีก 5 ปีข้างหน้าสหรัฐฯ จะกลายเป็นผู้ส่งออกพลังงานที่ตีคู่มากับตะวันออกกลาง ส่งผลให้โครงสร้างทางเศรษฐกิจโลกและโครงสร้างทางการเมืองเปลี่ยนไปอย่างมหาศาล
สำหรับเศรษฐกิจจีนที่หลายฝ่ายคาดว่าจะชะลอตัวนั้น ส่วนตัวมองว่าน่าจะรักษาแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ ขณะที่ปัญหายุโรปคาดว่าจะยังจัดการปัญหาไม่ได้ โดยเฉพาะกรีซ สเปน โปรตุเกส ไอซ์เเลนด์ แม้ว่าเยอรมนีจะอนุญาตให้ซื้อพันธบัตรจากประเทศเหล่านี้ ซึ่งเรามองว่าเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น
ทางด้านญี่ปุ่นเอง สิ่งที่ต้องจับตามอง 2 ประเด็น คือ ญี่ปุ่นยังไม่สามารถหยุดยั้งการแข็งค่าของเงินเยน แม้จะเพิ่มสภาพคล่องในระบบแล้ว เงินเยนก็ยังมีแนวโน้มแข็งตัวต่อเมื่อเทียบกับเงินยูโร และเงินดอลลาร์สหรัฐ และประเด็นถัดมาคือ การเกิดแผ่นดินไหวของญี่ปุ่นส่งผลให้เกิดสึนามิ ปัญหาที่ตามมาคือมีการเรียกร้องให้ปิดโรงผลิตไฟฟ้าปรมาณู และมีแนวโน้มที่จะถูกปิด ส่งผลให้การผลิตพลังงานไฟฟ้าของญี่ปุ่นมีการเปลี่ยนแปลงและมีการหาวิธีการผลิตไฟฟ้าใหม่
ในส่วนของภาพรวมของอาเซียนนั้น ประเทศไทย พม่า เวียดนาม กัมพูชา ถือว่าเป็นประเทศที่อยู่ใกล้ประเทศจีนมากที่สุด ซึ่งเส้นทางการขนส่งจะเชื่อมต่อกันโดยตรง ทำให้ท่าเรือมาบตาพุด แหลมฉบัง และท่าเรือทวายของพม่าจะได้รับผลดีมากที่สุด
นายวีระพงษ์กล่าวต่อว่า ปัจจัยหนุนที่ทำให้เศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้มาจากการลงทุนจากภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การขยายตัวของสินเชื่อซึ่งขยายตัวกว่าที่คาด การใช้จ่ายเพิ่มขึ้่น การส่งออกเริ่มฟื้นตัว ขณะที่อุตสหกรรมการท่องเที่ยวก็ดีขึ้น รวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังจากเกิดปัญหาน้ำท่วม ส่วนการเข้ามาลงทุนในไทยของนักลงทุนต่างประเทศนั้น เรามองว่าในญี่ปุ่นน่าจะเข้ามาลงทุนเพิ่มแน่นอนเนื่องจากอนาคตข้างหน้าญี่ปุ่นจะประสบปัญหาเรื่องค่าพลังงานไฟฟ้า ในขณะเดียวกัน ก่อนหน้านี้ญี่ปุ่นถอนการลงทุนในประเทศจีนเนื่องจากมีข้อพิพาทกัน ซึ่งไทยน่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนญี่ปุ่น
“ในปีหน้าคาดว่า GDP ไทยน่าจะมีการเติบโตสูงกว่าปีนี้แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนของภาครัฐ การเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งนโยบายทางการเงินการคลัง รวมถึงอัตราดอกเบี้ยและปัจจัยเรื่องพลังงานจะเป็นตัวช่วยให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น”
ทางด้านนายวีระ วุฒิคงศิริกูล รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย จำกัด กล่าวว่า สำหรับภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้จะเห็นว่าค่อนข้างผันผวน ซึ่งเรามองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยรอบนี้ไม่น่าจะหลุด 1,250 จุด โดยจะเห็นว่าส่วนใหญ่ต่างชาติเทขายสุทธิไปค่อนข้างมาก แต่เม็ดเงินเหล่านี้ไม่ได้ไปไหนยังคงวนเวียนอยู่ภายในประเทศ ซึ่งคงต้องไปดูที่ตลาดตราสารหนี้ว่ามีเม็ดเงินต่างชาติเข้าไปลงทุนมากน้อยแค่ไหน คาดว่าเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติยังคงต้องหาแหล่งลงทุนอยู่โดยเฉพาะเอเชียและกลุ่มตลาดเกิดใหม่ เนื่องจากฝั่งสหรัฐฯ และยุโรปยังไม่มีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างชัดเจน
ขณะที่ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อนั้นเริ่มลดลงเนื่องจากราคาน้ำมันลดลง แต่ปัจจัยที่ต้องติดตามคือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ ถ้าหากปล่อยมาทีเดียวแน่นอนว่าจะกระทบต่อกรอบเงินเฟ้อแน่นอน ส่วนเรื่องของอัตราดอกเบี้่ยนั้นน่าจะเห็นได้อย่างชัดเจนในไตรมาสแรกของปีหน้า และน่าจะปรับลดลงอีกครั้ง