แมนูไลฟ์เปิดตัวกองสหรัฐฯ เน้นหุ้นใหญ่ให้ยิลด์ดีระยะยาว

แมนูไลฟ์ เปิดตัว "MS-AMERICAN " ลุยตลาดหุ้นสหรัฐฯ เน้นหุ้นแข็งแกร่งขนาดใหญ่ ชี้ P/E สหรัฐฯ ปัจจุบันอยู่ที่ 14 เท่า ต่ำกว่าเอเชีย พร้อมคาดดัชนี S&P 500 ปีหน้าขึ้นระดับ 1600 จุด แนะเป็นจังหวะเข้าลงทุน

นายต่อ อินทวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แมนูไลฟ์ จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจสหรัฐฯในขณะนี้เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ออกมาตรการ QE3 ทำให้ความกังวลเรื่องสภาพคล่องในระบบเริ่มคลี่คลายลง พร้อมทั้งสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนและกลับเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น

ทั้งนี้ จากปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นตลาดที่นักลงทุนส่วนใหญ่สนใจลงทุน เนื่องจากเป็นตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นแหล่งรวมของหุ้นของบริษัทชั้นนำที่มีคุณภาพ แต่นักลงทุนในประเทศไทยเยังมีการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับการลงทุนในแถบเอเชียหรือจีน เนื่องจากอาจมีความกังวลเรื่องเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่หากมองหุ้นบางบริษัทที่มีพื้นฐานดีอย่าง Apple, Intel, Google, Qualcomm, Avon ก็มีการเติบโตทางธุรกิจอย่างแข็งแกร่ง จากรายได้ที่เกิดจากการขายนอกสหรัฐในสัดส่วนค่อนข้างสูง

"ปัจจุบันค่า P/E ของตลาดหุ้น S&P 500 อยู่ที่ระดับประมาณ 14 เท่า ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่ 16.51 เท่า ซึ่งถือว่ายังต่ำเมื่อเทียบกับในถูมิภาคเอเชียที่ขณะนี้ถือว่าสูงแล้ว และมองว่าในปีนี้หน้าดัชนีจะขึ้นไปถึงที่ระดับ 1600 จุด จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1440 จุด จึงน่าจะเป็นโอกาสในการเข้าไปลงทุนได้ "นายต่อกล่าวว่า

อนึ่ง บลจ. แมนูไลฟ์ ได้เปิดตัว กองทุนเปิด แมนูไลฟ์ สเตร็งค์ อเมริกัน โกรท เอฟไอเอฟ (MS-AMERICAN) เสนอขายครั้งแรก 1-10 ตุลาคม 2555 นี้ เป็นกองทุน Feeder Fund ที่ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนหลัก Manulife Global Fund-American Growth Fund บริหารจัดการโดย Manulife Asset Management (US) LLC กองทุนดังกล่าวจะเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีคุณภาพ มีรายได้จากทั่วโลกและมีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นหลัก โดยมีกระบวนการในการลงทุนเน้นเลือกหุ้นในบริษัทมีความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาว โดยเลือกจังหวะเข้าลงทุนในระดับราคาที่เหมาะสม ทำให้เชื่อว่ากองทุนนี้สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีและเหนือกว่าในระยะยาว นอกจากนี้ ด้วยการบริหารกองทุนแบบ Bottom-up ซึ่งการเน้นการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและเลือกลงทุนที่ตัวหุ้นเป็นหลักจะช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากความผันผวนของตลาดหุ้นได้