2 บลจ. เปิดขายกองทุนตรสารหนี้ระยะสั้น KTAM ออกตราสารหนี้6เดือน ยิลด์ 3.15% ด้าน ฟินันซ่า ออกกอง roll over เน้นลงทุนต่อเนื่องทุก 3 เดือน ชู ผลตอบแทนรอบแรก 3.17% ต่อปี
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทเปิดจำหน่าย 2 กองทุนตราสารหนี้ในและต่างประเทศ ได้แก่ กองทุนเปิดกรุงไทยธนทรัพย์ บี 49 ( KTSUPB49 ) เสนอขาย ในวันที่ 15-22 สิงหาคม 2555 อายุโครงการ 6 เดือน มูลค่า 5,000 ล้านบาท โดยลงทุนในเงินฝากประจำ The Commercial Bank of Qatar เป็นธนาคารขนาดใหญ่ อันดับ 2 ในกาตาร์ ดำเนินธุรกิจทั้งธนาคารพาณิชย์ และธนาคารเพื่ออิสลาม มีองค์กรเพื่อการลงทุนของรัฐบาลกาตาร์ เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด , ลงทุนในเงินฝากประจำ Bank of China สาขามาเก๊า เป็นธนาคารภาครัฐถือหุ้นใหญ่โดยหน่วยงานเพื่อการลงทุนของรัฐบาลจีน มีบทบาทในการสนองนโยบายของภาครัฐ มีขนาดสินทรัพย์ใหญ่เป็นอันดับ 17 ของโลก และขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของธนาคารในจีน และลงทุนใน MTN ออกโดย Banco Bradesco S.A. เป็นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่อันดับ 3 ดำเนินธุรกิจการเงินครบวงจรในบราซิล โดยทั้งหมดลงทุนในสัดส่วน 59% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือลงทุนในเงินฝาก / ตราสารการเงินระยะสั้นธนาคารพาณิชย์ไทย/ ตั๋วแลกเงินบริษัทเอกชนไทย โดยผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 3.15% ต่อปี
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่าย กองทุนเปิดกรุงไทยสมาร์ท อินเวส 6 เดือน 5 ( KTSIV6M5) ประเภท Roll Over อายุ 6 เดือน เสนอขายตั้งแต่วันที่ 14 - 17 สิงหาคม 2555 เป็นกองทุนที่ลงทุนในเงินฝาก บัตรเงินฝาก ตั๋วแลกเงินของ ธนาคารออมสิน ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ และ ตั๋วแลกเงินของภาคเอกชนที่มีอันดับเครดิตตั้งแต่ BBB+ ขึ้นไป ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 2.90% ต่อปี
ทั้งนี้ ภาวะการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ เริ่มปรับตัวลดลง หลังจากมีแรงเทขายทำกำไร เมื่อคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อย่างไรก็ตาม การประกาศตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือน ก.ค.อยู่ที่ 2.73% โดยเฉลี่ย 7 เดือนแรก เพิ่มขึ้น 2.92% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ แม้ว่าในครึ่งหลังของปีนี้ อัตราเงินเฟ้อมีโอกาสเพิ่มขึ้นสูงกว่าครึ่งปีแรก แต่โดยเฉลี่ยทั้งปีอัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะต่ำกว่าที่ทางการคาดการณ์ไว้ที่ 3.50% นอกจากนี้ สำนักเศรษฐกิจต่างๆ เริ่มทยอยปรับลดประมาณการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจของไทยลง รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจในต่างประเทศที่แสดงการฟื้นตัวล่าช้าและยังมีโอกาสที่จะถดถอย ทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะคงอยู่ในระดับเดิมหรือมีโอกาสปรับลดลงภายในปีนี้ ส่งผลให้มีแรงซื้อตราสารหนี้โดยเฉพาะตราสารหนี้รุ่นอายุ 3-5 ปี และตราสารหนี้รุ่นอายุไม่เกิน 1 ปี มีแรงซื้อค่อนข้างมาก
ด้าน นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ฟินันซ่า จำกัด จำกัด ประเมินว่า มีแนวโน้มค่อนข้างสูงมากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่เหลือของปีนี้ เนื่องจากผลการประชุมล่าสุดของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธปท. ไม่เป็นเอกฉันท์ คือ เสียงส่วนใหญ่มองว่าให้คงอัตราดอกเบี้ยเพื่อเป็นกระสุนช่วยเศรษฐกิจในอนาคต ในขณะที่เสียงส่วนน้อยเห็นว่า ควรลดดอกเบี้ยทันที ทั้งนี้ นายธีรพันธุ์ ระบุว่า ถ้าพิจารณาในภาพรวม เห็นว่า กนง. เห็นตรงกันคือเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวจากปัญหาภายนอกประเทศ ต่างกันตรงจังหวะในการลดดอกเบี้ย แต่เชื่อว่า กนง.น่าจะลดดอกเบี้ยในการประชุมช่วงที่เหลือของปีนี้
ดังนั้น การการลงทุนในตราสารที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบัน กล่าวคือสูงกว่า 3 % ขึ้นไป จะสร้างผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ลงทุน เมื่อเปรียบเทียบกับแนวโน้มของดอกเบี้ยที่จะปรับลงในอนาคตกองทุนเปิดฟินันซ่าตราสารหนี้พลัส โรล โอเวอร์ 3เดือน5 (FAM FIPR3M5) จะเปิดเสนอขายครั้งแรก (ไอพีโอ) ตั้งแต่ 9 - 20 สิงหาคม 2555 นี้ ด้วยประมาณการผลตอบแทนที่ 3.17% ต่อปี โดยสามารถลงทุนขั้นต่ำเพียง 2,000 บาท
"เราจะเปิดให้มีการซื้อและขายคืนหน่วยลงทุน ทุก ๆ 3 เดือนโดยประมาณ นับตั้งแต่วันจดทะเบียนกองทรัพย์สินเป็นกองทุนรวม กองทุนนี้เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะสั้นในตราสารหนี้ภาครัฐและภาคเอกชนและ/หรือ เงินฝาก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และมีโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝากธนาคาร ในระยะเวลานานประมาณ 3 เดือนสำหรับการลงทุนแต่ละรอบ กองทุนมีการลงทุนในต่างประเทศซึ่งเราจะทำการการป้องความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน" นายธีรพันธุ์ กล่าว
สำหรับ FAM FIPR 3M5 เป็น specific fund หรือกองทุนรวมตราสารแห่งหนี้ที่มีการกระจายการลงทุนน้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐาน มีนโยบายที่จะลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารแห่งหนี้ที่มีความสามารถในการชำระดอกเบี้ยและเงินต้น โดยกองทุนจะพิจารณาลงทุนในตราสารแห่งหนี้ ตราสารทางการเงิน และ/หรือ เงินฝาก ของภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหรือผู้ออกตราสารอยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) โดยในครั้งนี้เราจะลงทุนในเงินฝากธนาคารต่างประเทศ สกุลเงิน USD หรือ CNY กับธนาคาร BOC, Macao, ธนาคาร SCBT, Hong Kong (P-1) หรือเงินฝากสกุลเงิน AED ธนาคาร Abu Dhabi Commercial Bank, UAE (F1), ธนาคาร SCBT, UAE , Union National bank, UAE (P-1), ตั๋วเงินหรือเงินฝากธนาคารพาณิชย์ในประเทศ , ตั๋วแลกเงิน บมจ. เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง (BBB+) หรือ บมจ. มั่นคงเคหะการ (BBB+), ตั๋วเงิน บมจ. ดั๊บเบิ้ล เอ (1991) (BBB), ตราสารหนี้ของ บมจ.บัตรกรุงไทย (BBB+) หรือตราสารหนี้ภาคเอกชนที่มีอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ BBB+ขึ้นไป , ตั๋วเงินคลัง หรือ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย