xs
xsm
sm
md
lg

ภาพรวมกองทุนรวมครึ่งปีแรก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


จบไปแล้วสำหรับครึ่งปีแรกของปีมังกรทอง 2555 หวังว่านักลงทุนทุกท่านคงมีความสุขและประสบความสาเร็จในการลงทุนกันทั่วหน้า เมื่อพูดถึงสถาณการ์ณการลงทุนตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา นักลงทุนหลายท่านคงนึกย้อนไปถึงเหตุการ์ณเมื่อช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว (Deja Vu) ปัญหาหนี้ยุโรปยังคงวนเวียนหลอกหลอนอยู่โดยไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อบรรยากาศการลงทุนทั่วโลก หุ้นไตรมาสแรกที่จบไปได้สวยบวกกันเกือบทุกตลาดกลับกลายเป็นติดลบกันแทบทุกตลาดเช่นกันในไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่ตลาดหุ้นเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ สินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆทั้ง ทองคำ น้ำมัน ต่างได้รับผลกระทบอย่างมากเช่นกัน

หุ้น

ตามคาดสาหรับตลาดหุ้นทั่วโลกที่ต่างมีแรงขายทากำไรในไตรมาสที่ 2 หลังจากบวกกันค่อนข้างมากในไตรมาสแรกของปี ประกอบปัญหาหนี้ยุโรปที่ยังมีอยู่ อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นทั่วโลกก็สามารถปิดบวกได้ในช่วงครี่งปีแรกที่ผ่านมา นำโด่งโดยตลาดหุ้นแถบเอเชียทั้งสิ้น ตลาดหุ้นไทย SET Index บวก 14.32% อินเดีย ดัชนี BSE SENSEX บวก 12.78% ดัชนี Nikkei บวก 6.52% ส่วนดัชนี Hang Seng บวก 5.46% ส่วนตลาดหุ้นอเมริกาก็ยังไปได้ต่ออย่างดีเช่นกัน บวก 8.31% ขณะที่ในยุโรปยังคงดูทรงๆเนื่องจากปัญหาวิกฤตหนี้ยังคงไม่ชัดเจนทำให้ ดัชนี FTSE 100 -0.02% ดัชนี CAC ของฝรั่งเศส บวกเล็กน้อย 4.77% ส่วนศูนย์กลางของปัญหาอย่างสเปนดูจะยิ่งแย่ลงไปอีก ติดลบกว่า 17.09% และถ้าย้อนหลังกลับไปหนึ่งปีที่ผ่านมาติดลบกว่า 30%

ตราสารหนี้

เป็นไปตามทฤษฎีการลงทุนทั่วไปเมื่อตลาดหุ้นดี ผลตอบแทนในตราสารหนี้และสินทรัพย์อื่นๆก็จะไม่ค่อยดีเท่าไร เห็นได้ชัดจากผลตอบแทนดัชนีตราสารหนี้ทั่วโลกน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดยิ่งเมื่อเปรียบเทีบยกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว Barclays Global Aggregate บวกเพียง 1.5% ในขณะที่กลุ่มตราสารในตลาดเกิดใหม่ก็ยังดูดีโดย ดัชนี JPM EMBI Global TR USD บวก 7.45% แต่ความเสี่ยงก็สูงตามไปด้วยเช่นกัน ส่วนตราสารหนี้ไทยดูเหมือนว่าตราสารหนี้ระยะสั้นจะให้ผลตอบแทนดีกว่าตราสารหนี้ระยะยาวโดย ตั๋วเงินคลังระยะเวลา 91 วัน (ThaiBMA 91 day T-bill) มีผลตอบแทนอยูที่ 1.56% ขณะที่ดัชนีพันธบัตรรัฐบาล (ThaiBMA Government bond) ให้ผลตอบแทนเพียง 0.5%

ทองคำ- น้ำมัน

ทองคำดูได้รับความสนใจน้อยลงไปมากเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงปีที่แล้ว รวมทั้งผลตอบแทนที่ไม่โดดเด่นเหมือน ขณะที่น้ำมันกลับยิ่งแย่กันไปใหญ่จากที่โดดเด่นอย่างมากในปีที่แล้ว ครึ่งปีแรกนี้กลับทำผลตอบแทนได้น่าผิดหวัง ติดลบมากถึง -13.95% สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงที่สูงมากของสินทรัพย์ทั้ง 2 ชนิดนี้

อุตสาหกรรมกองทุนรวมประเทศไทย

กลับมาเติบโตในเลข 2 หลักอีกครั้งสาหรับทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวมประเทศไทยโดยช่วงแรกของปีโตกว่า 12% หรือประมาณ 250,000 ล้านบาท และเช่นเคยกองทุนประเภทตราสารหนี้ระยะสั้นยังคงได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่ง โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดผันผวนเช่นนี้ ส่วนTrigger Fund ก็กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง หลายบลจ.ต่างทยอยออกกองทุนประเภทนี้ออกมาในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวลง (-7.08%) ไปพอสมควรในช่วงเดือนพฤษภาคมซึ่งก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน โดยสามารถขายได้กว่า 6,000 ล้านบาท

ในส่วนของ Fund Flow โดยเฉพาะกองทุน LTF และ RMF ที่ไหลออกกว่า 20,000 ล้านบาทในไตรมาสแรกของปี ก็ยังไม่มีสัญญาณการซื้อกลับเข้ามาของนักลงทุนโดยเฉพาะ LTF ที่ยังคงมียอดเงินไหลออกสุทธิในไตรมาสที่ 2 อีกเกือบ 900 ล้านบาท ขณะที่ RMF มีเงินสุทธิกลับเข้าเพียงเล็กน้อยประมาณ 850 ล้านบาท ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนในกองทุน 2 ชนิดนี้ที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงกล่าวคือ นิยมลงทุนในช่วงท้ายของปีและยังไม่นิยมลงทุนในหลักการแบบการลงทุนแบบถั่วเฉลี่ย (Dollar Cost Average)

ผลการดำเนินงานกองทุน

ไม่น้อยหน้าเลยทีเดียวครับสำหรับผลตอบแทนเฉลี่ยกองทุนในแต่ละประเภทที่เป็นบวกกันแถบจะทุกกลุ่ม ยกเว้นแต่กลุ่มทองคำและน้ำมันที่ติดลบ โดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็นกองทุนหุ้นในประเทศทั้งกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่และกลุ่มหุ้นขนาดกลางและเล็กโดยมีผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 16.15% และ 18.17% ตามลาดับ โดยกองทุนที่ทำผลตอบแทนได้สูงสุดทำได้กว่า 27% ขณะที่กองทุนหุ้นที่ลงทุนในต่างประเทศผลตอบแทนไม่ค่อยดีเท่าไรโดย กลุ่ม Asia Pacific ex-Japan Equity เฉลี่ยบวก 4.32% กลุ่ม Global Equity เฉลี่ยบวก 3.19% ตามด้วย กลุ่ม Emerging Market Equity ที่เฉลี่ยบวกเล็กน้อยที่ 1.02% ส่วนของกลุ่มตราสารหนี้ก็สอดคล้องกับดัชนีโดยที่กลุ่มตราสารหนี้ต่างประเทศทั้ง Global Bond และ Emerging Market Bond สามารถเอาชนะกลุ่มตราสารหนี้ในประเทศไปได้ ส่วนกลุ่มที่น่าผิดหวังเห็นจะเป็นกลุ่มกองทุนที่ลงทุนในทองคำและน้ำมันโดย กองทุนทองคำติดลบเฉลี่ย -3.8% ส่วนน้ำมัน ติดลบเฉลี่ยสูงถึง -14.26% ทั้งนี้ทั้งกองทุนทั้ง 2 ประเภทนอกจากจะเจอความเสี่ยงจากสินทรัพย์ที่สูงอยู่แล้ว ยังมีเรื่องของความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนมาเป็นปัจจัยเสี่ยงเพิ่มอีกด้วย ดังนั้นนักลงทุนต้องทำความเข้าใจให้มากก่อนลงทุนในกองทุนทั้ง 2 ประเภทนี้

ท้ายนี้อยากถือโอกาสอัพเดทข่าวที่จะมีผลกระทบต่อการลงทุนในกองทุนรวมสัก 2 ข่าวคือ 1. รัฐบาลมีมติเลื่อนใช้ พรบ.สถาบันคุ้มครองเงินฝากออกไป จากเดิมวันที่ 11 ส.ค. 2555 นี้ ไปอีก 3 ปี และ2. เพื่อเป็นการต้อนรับ AEC ทางสานักงาน ก.ล.ต. จะอนุญาตให้ผู้ลงทุนประเภท (Accredited Investor) ซึ่งประกอบด้วยผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth) สามารถลงทุนกองทุนในต่างประเทศที่เสนอขายในประเทศไทยได้

โดยกิตติคุณ ธนรัตนพัฒนกิจ
นักวิเคราะห์กองทุน
บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสริช (ประเทศไทย) จำกัด


กำลังโหลดความคิดเห็น