xs
xsm
sm
md
lg

กสิกรฯ คาดปีหน้า AUM แตะ 1 ล้านล้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อำพล โพธิ์โลหะกุล
บลจ.กสิกรไทยประเมินปี 56 มูลค่าสินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหารเติบโตทะลุ 1 ล้านล้านบาท หลังครึ่งปีแรกยึดมาร์เกตแชร์ในอันดับที่ 1 ทุกธุรกิจกองทุนดันยอด AUM แตะ 837,650 ล้านบาท เร่งขยายฐานลูกค้าใหม่ พร้อมเดินหน้าให้ความรู้ความเข้าใจการลงทุนเพิ่ม

นายอำพล โพธิ์โลหะกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ช่วงครึ่งปีแรกบริษัทยังมีการเติบโตที่ดีโดยมีสินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหาร หรือ AUM เพิ่มขึ้นเป็น 837,650 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.38% จากสิ้นปี 2554 ที่ 738,827 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นธุรกิจกองทุนรวม 588,776 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.75% ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 151,697 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.08% และธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล 97,177 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.00%

ทั้งนี้ บริษัทยังมีส่วนแบ่งการตลาด หรือมาร์เกตแชร์ ในอันดับที่ 1 ในทุกธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนส่วนบุุคล ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 25% และในสิ้นปีนี้ตั้งเป้าจะเพิ่ม AUM ขึ้นแตะ 898,170 ล้านบาท และต้องทะลุ 1 ล้านล้านบาทในปี 2556 เป็นเป้าหมายถัดไป ซึ่งในส่วนของบริษัทเองความท้าทายต่อไปคงอยู่ที่การขยายฐานลูกค้าและให้ความรู้ลูกค้าเพื่อให้สามารถใช้โปรดักต์กองทุนมาจัดพอร์ตการลงทุนเพื่อบรรลุเป้าหมายการลงทุนของตัวเองให้ได้ รวมถึงการผลักดันให้ฐานลูกค้ากองทุนรวมขยับมาลงทุนในกองทุนอื่นที่มีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น จากปัจจุบันที่ลูกค้าส่วนใหญ่ยังเน้นลงทุนในส่วนของกองทุนตราสารหนี้ประเภทเทอมฟันด์ที่มีลักษณะคล้ายเงินฝากอยู่

ในส่วนของการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (Asian Economic Community) โอกาสทางธุรกิจก็จะมีมากขึ้นแต่คงค่อยเป็นค่อยไป ในส่วนของ บลจ.ในอาเซียนที่จะเข้ามาแข่งขันคงไม่น่ากังวลมากนัก เพราะธุรกิจกองทุนของไทยนักลงทุนส่วนใหญ่ยังเป็นเรื่องของความเชื่อมั่นและความมั่นใจของนักลงทุนที่มีต่อ บลจ.มากกว่า รวมถึงความสะดวกสบายในช่องทางของสาขาก็สำคัญ ในความเป็น K-Group ก็เชื่อมั่นว่านักลงทุนจะให้ความไว้วางใจอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

ทางด้านนางสาวยุพาวดี ตู้จินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า ช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีกองทุนเทอมฟันด์ที่ครบอายุประมาณ 238,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทสามารถออกกองทุนใหม่มารับเม็ดเงินเดิมเอาไว้ได้ทั้งหมดและยังสามารถดึงเม็ดเงินใหม่เข้ามาลงทุนได้เพิ่มเติมอีกประมาณ 40,000 ล้านบาท

โดยในช่วงครึ่งหลังของปีกองทุนเทอมฟันด์ที่จะครบอายุก็น่าจะมีขนาดใกล้เคียงกับในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งบริษัทมั่นใจว่าจะรักษาเงินลงทุนเดิมเอาไว้ได้ทั้งหมดเช่นเดียวกัน พร้อมกับระดมเงินลงทุนใหม่เข้ามาได้เพิ่มเติมอีกประมาณ 10,000 ล้านบาท ในช่วงครึ่งหลังของปีแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบาย (R/P 1 วัน) บริษัทยังมองไว้คงที่ประมาณ 3.0% และคงไม่มีการปรับขึ้นแน่นอน นั่นคือความยากในการที่จะมองหาตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีเข้ามาผสมในกองทุนเพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้นักลงทุน โดยบริษัทได้ใช้ความเชี่ยวชาญของพิมโก้ (PIMCO) พันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในการบริหารกองทุนตราสารหนี้ในการมองหาตราสารหนี้ในต่างประเทศเพื่อที่จะเข้าไปลงทุนผสมเข้ามาในกองทุนด้วย

“บริษัทเองคงไม่ได้เน้นในเรื่องของอัตราผลตอบแทนเพียงอย่างเดียว ในส่วนของกองทุนตราสารหนี้การจะนำตราสารหนี้เข้ามาผสมคงต้องดูในเรื่องของความเสี่ยงด้านเครดิตด้วย ปัจจุบันก็จะเน้นผสมตราสารหนี้ต่างประเทศเพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้กับลูกค้าเป็นหลักมากกว่า”

นางสาวยุพาวดี ยังกล่าวอีกว่า ในส่วนของหุ้นกู้เอกชนแม้จะมีออกกันมาค่อนข้างมากแต่การจะนำมาทำเป็นกองทุนหุ้นกู้ก็ไม่ง่าย เพราะจะต้องกระจายลงทุนในหุ้นกู้อย่างน้อย 4 บริษัท ซึ่งจะต้องมีอายุเท่ากันด้วยจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำ และที่สำคัญขนาดของกองทุนก็จะเล็กเกินไปไม่เพียงพอต่อความต้องการของนักลงทุนด้วย บริษัทจะยังคงเน้นการทำตลาดกองทุนประเภทคุ้มครองเงินต้นซึ่งบริษัทเป็นผู้นำตลาดอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันกองทุนคุ้มครองเงินต้นของบริษัทมีสินทรัพย์สุทธิประมาณ 30,000 ล้านบาทแล้ว แม้ว่าจะมีการเลื่อนการคุ้มครองเงินฝากออกไปแต่ก็เชื่อว่าตลาดกองทุนคุ้มครองเงินต้นจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง

“ปัจจุบันบริษัทก็เริ่มแนะนำลูกค้ากองทุนส่วนบุคคลที่มีความเข้าใจและรับความเสี่ยงได้ให้เข้าลงทุนในกองทุน กองทุนเปิดเค อะกริคัลเจอร์ (K-AGRI) ด้วยเช่นกัน เพราะในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่เดือน มิ.ย. 55 ราคาสินค้าเกษตรเริ่มมีทิศทางปรับตัวขึ้น ในช่วงเดือนกว่านี้กองทุนปรับตัวขึ้นมาแล้วประมาณ 20% ก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจในปัจจุบัน”


กำลังโหลดความคิดเห็น