โดย วรวรรณ ธาราภูมิ
และทีมจัดการกองทุน บลจ.บัวหลวง
• ผู้นำเยอรมนี อิตาลี ฝรั่งเศส และสเปนมีความเห็นตรงกันในการเริ่มเก็บภาษีการทำธุรกรรมทางการเงิน (Tobin Tax) และมีมติออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 130,000 ล้านยูโร เพื่อช่วยให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่มยูโรฟื้นกลับมา โดยจะนำเสนอต่อที่ประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรปในวันที่ 28-29 มิ.ย.นี้
อย่างไรก็ตาม ผู้นำเยอรมนียังคงไม่เห็นด้วยกับการออก Euro Bond ร่วมกัน และไม่เห็นด้วยกับการผ่อนปรนเงื่อนไขการใช้กองทุนช่วยเหลือทางการเงินของยุโรป
• บริษัท โอลิเวอร์ ไวแมน บริษัทที่ปรึกษาอิสระ รายงานว่า สเปนอาจต้องการเงินช่วยเหลือมากถึง 6.2 หมื่นล้านยูโรในการเพิ่มทุนให้ธนาคารในประเทศ ขณะที่บริษัท โรแลนด์ เบอร์เกอร์ คาดว่าจะเป็น 5.18 หมื่นล้านยูโร
ทั้งนี้ รัฐบาลสเปนจะประเมินตัวเลขอีกครั้งก่อนยื่นขอความช่วยเหลืออย่างเป็นทางการในวันนี้ ตามที่สหภาพยุโรปเคยยืนยันว่าพร้อมจะจัดสรรเงินช่วยเหลือสเปนให้ได้สูงสุดถึง 1 แสนล้านยูโร
• ECB ลดอันดับความน่าเชื่อถือขั้นต่ำของหลักประกันจากธนาคารในยุโรปลงเป็น BBB- จากเดิมที่ต้องการหลักประกันที่มีอันดับ A- ขึ้นไป รวมทั้งแก้ข้อจำกัดเรื่องประเภทของหลักประกันเพื่อให้ธนาคารที่มีปัญหาสภาพคล่องในยุโรปเข้าถึงแหล่งเงินทุนจาก ECB ได้มากขึ้น
• รัฐบาลใหม่ของกรีซมีแผนขอขยายเส้นตายในการทำตามเงื่อนไขรัดเข็มขัดของเจ้าหนี้ออกไปอีกไม่ต่ำกว่า 2 ปี
• ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนีเดือน มิ.ย.ลดลงมาอยู่ที่ 105.3 จุด จาก 106.9 ในเดือนก่อน และเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี ลดลงติดต่อกัน 2 เดือน จากความกังวลที่เพิ่มขึ้นหลังจากวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรปส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจริงในประเทศคู่ค้าของเยอรมนีมากขึ้นจนเริ่มลุกลามสู่เศรษฐกิจภายในเยอรมนีเอง
• ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของอิตาลีในเดือน มิ.ย.ลดลงจาก 86.5 จุดเป็น 85.3 จุด ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ของอิตาลี โดยเป็นผลจากการเริ่มเก็บภาษีอสังหาริมทรัพย์ (IMU) ในเดือนที่ผ่านมาซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการรัฐที่ต้องการลดการขาดดุลงบประมาณลง 20 พันล้านยูโร
• สำนักงานกลางการเงินเพื่อที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ (FHFA) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาบ้านเดือน เม.ย. เพิ่มขึ้น 0.8% จากเดือนก่อน และเพิ่มขึ้น 3% จากปีที่ผ่านมา โดยต้นทุนการกู้ยืมที่อยู่ในระดับต่ำช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้ โดยปัจจุบันเงินกู้จำนอง (FRM) ระยะ 15 ปี และ 30 ปีในสหรัฐฯ อยู่ในระดับ 3% และ 4% ตามลำดับ
• อิสราเอลยังคงเตรียมพร้อมที่จะโจมตีอิหร่านในกรณีที่อิหร่านยังคงเดินหน้าเรื่องนิวเคลียร์
• ประธานสมาคมปิโตรเลียมแห่งญี่ปุ่นกล่าวว่า มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปประกาศใช้กับอิหร่านจะไม่ส่งผลให้การขนส่งน้ำมันของญี่ปุ่นตกอยู่ในภาวะชะงักงันในอนาคตอันใกล้นี้ เนื่องจากญี่ปุ่นยังรักษาสมดุลของอุปสงค์และอุปทานไว้ได้อย่างมีเสถียรภาพ
• อินโดนีเซียคาดการณ์ว่าจะก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตน้ำมันปาล์มรายใหญ่ของโลกใน 10 ปีข้างหน้า เนื่องจากมีพื้นที่การเพาะปลูกต้นปาล์มที่เหมาะสมถึง 16-17 ล้านเฮกเตอร์ ขณะที่มาเลเซีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตอันดับหนึ่งของโลกในเวลานี้มีพื้นที่ที่เหมาะสมเหลืออยู่เพียง 600,000 เฮกเตอร์เท่านั้น และต้นปาล์มในมาเลเซียยังเป็นต้นปาล์มที่โตเต็มที่แล้วประมาณ 87% ทำให้ในอนาคตมีแนวโน้มที่ผลผลิตปาล์มในมาเลเซียจะเข้าสู่ภาวะที่ชะลอตัวลง
• คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันเบนซินและดีเซลอีก 40 สต./ลิตร มีผล 23 มิ.ย.นี้ ซึ่งการเพิ่มเงินส่งเข้าจะทำให้กองทุนมีรายรับเพิ่มขึ้น 26 ล้านบาท/วัน เป็น 201 ล้านบาท/วัน และจะช่วยเพิ่มเสถียรภาพของฐานะกองทุน
• ก.อุตสาหกรรมตั้งคณะทำงานจัดทำข้อมูลพื้นฐานเพื่อรองรับสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจยุโรป โดยจะเตรียมข้อมูลและจัดทำมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบ และเสนอต่อที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจในครั้งต่อไป โดยจะเสนอให้เฝ้าระวังเพิ่มอีก 1 หมวด ได้แก่ ยางและผลิตภัณฑ์ยาง จากเดิมเฝ้าระวัง 4 หมวด ได้แก่ ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ สิ่งทอ และอัญมณี
• สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (TDRI) คาดว่า GDP ของไทยปีนี้จะเติบโต 5-7% เนื่องจากปีที่ผ่านมาเติบโตเพียงเล็กน้อยจากผลของวิกฤตในหลายด้าน ทำให้ปีนี้จะเติบโตชดเชยปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ภาพรวมยังมีปัจจัยเสี่ยงจากภายนอก เช่น ปัญหาวิกฤตหนี้ในยุโรป หรือเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เริ่มชะลอตัวลง จึงได้แนะนำให้รัฐบาลจัดลำดับการใช้จ่ายงบประมาณอย่างระมัดระวัง เพื่อให้มีความพร้อมสำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจหากวิกฤตในยุโรปแย่ลงกว่านี้
• แบบจำลองน้ำท่วมปี 2555 ของบริษัททีมกรุ๊ปคาดว่า 7 จังหวัดริมแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างจะประสบปัญหาน้ำท่วมที่ระดับสูงกว่าเดิม โดยเฉพาะจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจะมีน้ำท่วมสูงกว่าเดิม 1 เมตร ขณะที่บ้านนา นครนายก และฉะเชิงเทรา จะกลายเป็นพื้นที่น้ำท่วมใหม่
ส่วนเขตชั้นใน เช่น กรุงเทพฯ และนนทบุรี มีแนวโน้มที่จะไม่ท่วมเนื่องจากมีคันกั้นน้ำป้องกัน
(การประเมินปีนี้ใช้แบบจำลองซึ่งใช้ปริมาณน้ำเท่ากับปี 2554 ปริมาณเฉลี่ยรายปี ปริมาณน้ำท่า และโครงการป้องกันน้ำท่วมที่ได้ทำไปแล้ว)
Equity Market
• SET Index ปิดที่ 1,152.91 จุด ลดลง 6.14 จุด หรือ -0.53% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 25,987 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,790 ล้านบาท
ทั้งนี้ SET ปรับตัวอยู่ในแดนลบตลอดทั้งวันหลังจาก Moody’s ทำการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสถาบันการเงินชั้นนำของโลก 15 แห่ง ทำให้เพิ่มความกังวลอย่างมากต่อนักลงทุนในตลาด อย่างไรก็ตาม SET ยังฟื้นกลับขึ้นมาปิดได้ที่จุดสูงสุดของวัน จากแรงซื้อนักลงทุนในประเทศ
Fixed Income Market
• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในช่วง -0.01% ถึง +0.00% สำหรับวันนี้มีการประมูลตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อปรับปรุงโครงสร้างหนี้อายุ 6 เดือน มูลค่า 8,500 ล้านบาท