“ควอลิตี้ เฮ้าส์” ดึง 3 โครงการคุณภาพในเครือเซ็นเตอร์พอยต์ โฮเทล แอนด์ เรสสิเดนซ์ จัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ มูลค่ากว่า 3 พันล้านบาท จ่อลงทุนโครงการเซ็นเตอร์พอยต์ เพชรบุรี และโครงการเซ็นเตอร์พอยต์ สุขุมวิท และลงทุนสิทธิการเช่าอายุ 14 ปีในโครงการเซ็นเตอร์พอยต์หลังสวน มั่นใจโอกาสเติบโตจากการให้บริการใน 2 รูปแบบที่ผสมผสานระหว่างเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์และโรงแรมที่ทำให้รายได้มีความแน่นอน
นางสุวรรณา พุทธประสาท กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH เปิดเผยว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างการจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ มูลค่ากว่า 3 พันล้านบาท ซึ่งจะลงทุนใน 3 โครงการเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์และโรงแรมใจกลางเมือง ประกอบด้วย ลงทุนกรรมสิทธิ์โครงการเซ็นเตอร์พอยต์ เพชรบุรี และโครงการเซ็นเตอร์พอยต์ สุขุมวิท และลงทุนสิทธิการเช่าอายุ 14 ปีในโครงการเซ็นเตอร์พอยต์ หลังสวน ซึ่งทั้ง 3 โครงการอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพสำหรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
สำหรับโครงการเซ็นเตอร์พอยต์ เพชรบุรี ตั้งอยู่บนถนนเพชรบุรี 15 เป็นอาคารขนาด 28 ชั้น และอาคารที่จอดรถขนาด 5 ชั้น ซึ่งสถานที่ตั้งของโครงการอยู่ในเขตประตูน้ำ ซึ่งเป็นสถานที่ชอปปิ้งที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในกลุ่มนักท่องเที่ยว เพราะแวดล้อมไปด้วยห้างสรรพสินค้าชั้นนำ เช่น ห้างมาบุญครอง ห้างแพลตตินัม พันธุ์ทิพย์พลาซา เซ็นทรัลเวิลด์ เกษรพลาซ่า และสยามพารากอน โดยสถานที่ตั้งมีความสะดวกสบายไม่ไกลจากสถานีรถไฟฟ้าราชเทวี และรถไฟเชื่อมสนามบินสถานีพญาไท ทำให้ผู้ที่เข้าพักไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจ นักท่องเที่ยวหรือผู้เดินทางสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ขณะเดียวกัน โครงการยังได้รับการออกแบบและตกแต่งเพื่อให้มีบรรยากาศอบอุ่น สบาย หรูหรา พร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบครันทั้งภายในห้องพัก และส่วนกลาง
ในส่วนของโครงการเซ็นเตอร์พอยต์ สุขุมวิท ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท 10 เป็นอาคารที่พัก 28 ชั้น และอาคารจอดรถขนาด 5 ชั้น โดยโครงการตั้งอยู่ในสิ่งแวดล้อมเงียบสงบใจกลางย่านสุขุมวิท ทำให้ได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้เช่าทั้งนักธุรกิจและครอบครัว ขณะที่สถานที่ตั้งโครงการมีความสะดวกสบายอยู่ไม่ไกลจากรถไฟฟ้าสถานีอโศกและนานา โดยผู้เช่าสามารถใช้บริการรถรับส่งของโครงการเพื่อเดินทาง ทำให้ผู้เช่าสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบาย พร้อมกันนี้ ภายในโครงการยังมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบครัน เช่น สระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกาย ห้องประชุม รวมถึงห้องน้ำชากลางแจ้งที่เหมาะสำหรับผู้พักอาศัยระยะยาวอีกด้วย นอกจากนี้ โครงการยังได้รับผลดีจากการเปิดตัวโครงการศูนย์การค้า เทอร์มินัล 21 ในบริเวณใกล้เคียงอีกด้วย
ขณะที่โครงการเซ็นเตอร์พอยต์ หลังสวน ตั้งอยู่บริเวณซอยหลังสวน 1 เป็นอาคารที่พักอาศัย 24 ชั้น อาคารที่จอดรถ 4 ชั้น ล้อมรอบด้วยสภาพแวดล้อมพื้นที่สีเขียวที่สงบเหมาะสำหรับการพักผ่อนใกล้สวนลุม ในขณะเดียวกันก็สามารถเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ใจกลางเมือง ย่านธุรกิจ หรือห้างสรรพสินค้าได้อย่างสะดวก โดยโครงการอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าชิดลมและสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีสีลม รวมทั้งโครงการยังจัดให้มีบริการรถรับส่งทำให้ผู้พักอาศัยได้รับความสะดวกสบายในการเดินทาง ในส่วนของห้องพักก็มีขนาดหลากหลายตั้งแต่สตูดิโอ ไปจนถึงขนาด 1-3 ห้องนอน โดยภายในโครงการยังมีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ห้องประชุม ห้องสมุด สระว่ายน้ำ และห้องซ้อมกอล์ฟ เป็นต้น นอกจากนี้ โครงการเซ็นเตอร์พอยต์ หลังสวนเพิ่งได้รับการปรับปรุงภาพลักษณ์ครั้งใหญ่ (Major Renovation) แล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2554 เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่คาดว่าจะเติบโตในอนาคต
“นอกจากจุดเด่นด้านทำเลแล้ว โครงการทั้ง 3 แห่งยังมีจุดเด่นอยู่ที่การผสมผสานการให้บริการในรูปแบบของเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์และโรงแรม เนื่องจากโครงการเป็นเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรม ซึ่งในส่วนของบริการเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์นั้นจะมีฐานลูกค้าเช่าพักระยะยาวที่ช่วยลดความผันผวนด้านรายได้ ในขณะเดียวกัน การรับลูกค้าเช่าพักระยะสั้นในรูปแบบโรงแรมทำให้สามารถคิดค่าเข้าพักได้ในอัตราที่สูงกว่า และสามารถจับกลุ่มลูกค้าได้ทั้งชาวต่างชาติที่เข้าพักอาศัยในประเทศไทย และกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย นอกจากนี้ โครงการทั้งสามแห่งยังดำเนินการมามากกว่า 15-22 ปี มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา โดยอัตราการเข้าพักเฉลี่ยในอดีตพิสูจน์แล้วอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องและสามารถเพิ่มอัตราค่าเช่าพักได้เช่นกัน” นางสุวรรณากล่าว
ขณะเดียวกัน การบริหารจัดการภายใต้แบรนด์ “เซ็นเตอร์พอยต์” ซึ่งเป็นผู้มีประสบการณ์ในการบริหารและจัดการโครงการเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์มาอย่างยาวนานเป็นระยะเวลากว่า 20 ปี และได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในผู้นำในการบริหาร Hotel and Residence Chain ในประเทศไทย ที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารมากที่สุดในประเทศไทยมากถึง 2,500 ยูนิตจากจำนวน 11 โครงการ ทำให้มั่นใจได้ถึงผลการดำเนินงานที่น่าพอใจ
อย่างไรก็ตาม โครงการทั้งสามแห่งจะได้รับผลดีจากการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยในอนาคต ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมาพบว่าจำนวนนักท่องเที่ยวของไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีปัญหาการเมืองในประเทศเกิดขึ้น นอกจากนี้ จากการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 จะทำให้มีชาวต่างชาติเข้ามาทำงานในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้โครงการ “เซ็นเตอร์พอยต์” ทั้ง 3 โครงการได้รับผลดีโดยตรงจากการที่ลูกค้าต่างชาติซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มเป้าหมายจะเข้ามาทำงานและหาที่พำนักในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งด้วยศักยภาพทางทำเล รูปแบบของโครงการ รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกของโครงการจะสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในกลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดี