ASTVผู้จัดการรายวัน - AIA ประกันชีวิตลั่นทำยอด 7 ล้านกรมธรรม์ใน 5 ปี วอนภาครัฐเพิ่มบทบาทออกมาตรการช่วยหนุน หลังหักลดหย่อนภาษียังไม่ครอบคลุมผู้มีรายได้น้อย และคนไทยไม่เข้าใจประโยชน์จากการประกันชีวิตเท่าที่ควร ขณะเดียวกันเล็งเพิ่มตัวแทนอีก 3 หมื่นคน หวังกวาดเบี้ยรวมทั้งปีแตะแสนล้านบาท
นายประกิตติ บุณยเกียรติ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารตัวแทนประกันชีวิต บริษัทเอไอเอ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันผลงานของบริษัทสามารถสร้างรายได้เป็น 1 ใน 4 ของรายได้ทั้งหมดจาก 15 ประเทศที่กลุ่มบริษัทเอไอเอประกอบกิจการอยู่
ล่าสุดบริษัทสามารถทำยอดขายกรมธรรม์ได้ถึง 6 ล้านฉบับ และส่วนใหญ่จะเป็นกรมธรรม์ประเภทคุ้มครอง โดยคาดว่าอีก 5 ปีหลังจากนี้บริษัทจะมียอดกรมธรรม์เพิ่มขึ้นเป็น 7 ล้านฉบับได้
“เราทำธุรกิจมาเกือบ 75 ปี กรมธรรม์ครบล้านฉบับแรกตอน 50 ปีแรก แล้วค่อยมาถึง 6 ล้านขณะนี้ แต่ถ้ารวมการประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลด้วยก็จะเป็น 7.5 ล้านฉบับ ซึ่งจะเห็นว่าเราเน้นเรื่องของรากฐานให้แน่นก่อนแล้วจึงต่อยอดขยายตัวอย่างทุกวันนี้”
นายประกิตติกล่าวอีกว่า ถึงแม้ปัจจุบันคนไทยจะมีความสนใจทำประกันชีวิตมากขึ้น แต่ตลาดของการประกันชีวิตในประเทศไทยยังถือว่ากำลังพัฒนาเมื่อเทียบกับประเทศสิงค์โปร์และฮ่องกง ซึ่งมีการพัฒนาทั้งเรื่องของสินค้าและความเข้าใจของคนในประเทศ ภาครัฐและคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ควรที่จะส่งเสริมให้คนไทยตระหนักและเข้าใจถึงประโยชน์ของการประกันภัยมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันถึงแม้จะมีนโยบายออกมาผลักดันในเรื่องนี้แล้ว แต่ยังไม่เพียงพอหากต้องการให้การประกันชีวิตในประเทศไทยเติบโตเทียบเท่ากับตลาดสิงค์โปร์ และฮ่องกง
“ภาครัฐต้องทำให้คนไทยเชื่อ เพราะคนไทยเชื่อภาครัฐมากกว่า ส่วนเรื่องหักลดหย่อนภาษีมันยังไม่ครอบคลุม 60 กว่าล้านคนในประเทศ เพราะคนมีรายได้น้อยยังมี ประกันชีวิตในประเทศไทยยังเติบโตได้อีกเยอะ แต่หากเปรียบกับประเทศที่เขาพัฒนาแล้ว เขาจะวางอินฟราสตรักเจอร์ หรือถนนไปก่อนความเจริญค่อยตามไป เช่นเดียวกันในเรื่องนี้ภาครัฐควรมีส่วนรวมมากกว่านี้”
นายประกิตติกล่าวอีกว่า ในส่วนของการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา บริษัทสามารถทำเบี้ยรับรวมได้ถึง 3 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นเบี้ยปีแรกถึง 6.8 พันล้านบาท และน่าจะทำให้ปีนี้บริษัทสามารถทำเบี้ยรับรวมได้ถึง 1 แสนล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ประมาณ 8.8 หมื่นล้านบาทได้
ทั้งนี้ บริษัทยังคงให้ความสำคัญต่อการขายผ่านช่องทางตัวแทน โดยตั้งเป้าเพิ่มตัวแทนขายในปีนี้อีก 3 หมื่นคน และ 3 เดือนที่ผ่านมาก็สามารถเพิ่มตัวแทนขายได้แล้วถึง 8.6 พันคน จากปัจจุบันบริษัทมีตัวแทนขายทั้งหมด 7.2 หมื่นคน
ส่วนตัวแทนที่มียอดขายสม่ำเสมอจะอยู่ที่ 2.1 หมื่นคนต่อเดือน ซึ่งหลังจากนี้บริษัทคาดว่าในเดือนสิงหาคมบริษัทจะมีตัวแทนที่มียอดขายสม่ำเสมอสูงที่สุดถึง 2.3 หมื่นคน โดยจะเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดที่บริษัทเคยมีมา
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้บริษัทยังมีโจทย์ในการหาสินค้ามารองรับกรมธรรม์ที่ครบอายุประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งอาจเป็นกรมธรรม์ระยะสั้นที่มีผลตอบแทนที่บริษัทมีอยู่แล้ว และเคยได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าก็เป็นได้ เนื่องจากสินค้าประเภทนี้น่าจะใช้รองรับความต้องการของลูกค้าที่ต้องการกระจายความเสี่ยงของเงินฝาก หลังจากที่ พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝากมีการบังคับใช้อย่างเต็มที่ในวันที่ 11 สิงหาคม 2555 ได้อีกด้วย
นายประกิตติ บุณยเกียรติ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารตัวแทนประกันชีวิต บริษัทเอไอเอ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันผลงานของบริษัทสามารถสร้างรายได้เป็น 1 ใน 4 ของรายได้ทั้งหมดจาก 15 ประเทศที่กลุ่มบริษัทเอไอเอประกอบกิจการอยู่
ล่าสุดบริษัทสามารถทำยอดขายกรมธรรม์ได้ถึง 6 ล้านฉบับ และส่วนใหญ่จะเป็นกรมธรรม์ประเภทคุ้มครอง โดยคาดว่าอีก 5 ปีหลังจากนี้บริษัทจะมียอดกรมธรรม์เพิ่มขึ้นเป็น 7 ล้านฉบับได้
“เราทำธุรกิจมาเกือบ 75 ปี กรมธรรม์ครบล้านฉบับแรกตอน 50 ปีแรก แล้วค่อยมาถึง 6 ล้านขณะนี้ แต่ถ้ารวมการประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลด้วยก็จะเป็น 7.5 ล้านฉบับ ซึ่งจะเห็นว่าเราเน้นเรื่องของรากฐานให้แน่นก่อนแล้วจึงต่อยอดขยายตัวอย่างทุกวันนี้”
นายประกิตติกล่าวอีกว่า ถึงแม้ปัจจุบันคนไทยจะมีความสนใจทำประกันชีวิตมากขึ้น แต่ตลาดของการประกันชีวิตในประเทศไทยยังถือว่ากำลังพัฒนาเมื่อเทียบกับประเทศสิงค์โปร์และฮ่องกง ซึ่งมีการพัฒนาทั้งเรื่องของสินค้าและความเข้าใจของคนในประเทศ ภาครัฐและคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ควรที่จะส่งเสริมให้คนไทยตระหนักและเข้าใจถึงประโยชน์ของการประกันภัยมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันถึงแม้จะมีนโยบายออกมาผลักดันในเรื่องนี้แล้ว แต่ยังไม่เพียงพอหากต้องการให้การประกันชีวิตในประเทศไทยเติบโตเทียบเท่ากับตลาดสิงค์โปร์ และฮ่องกง
“ภาครัฐต้องทำให้คนไทยเชื่อ เพราะคนไทยเชื่อภาครัฐมากกว่า ส่วนเรื่องหักลดหย่อนภาษีมันยังไม่ครอบคลุม 60 กว่าล้านคนในประเทศ เพราะคนมีรายได้น้อยยังมี ประกันชีวิตในประเทศไทยยังเติบโตได้อีกเยอะ แต่หากเปรียบกับประเทศที่เขาพัฒนาแล้ว เขาจะวางอินฟราสตรักเจอร์ หรือถนนไปก่อนความเจริญค่อยตามไป เช่นเดียวกันในเรื่องนี้ภาครัฐควรมีส่วนรวมมากกว่านี้”
นายประกิตติกล่าวอีกว่า ในส่วนของการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา บริษัทสามารถทำเบี้ยรับรวมได้ถึง 3 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นเบี้ยปีแรกถึง 6.8 พันล้านบาท และน่าจะทำให้ปีนี้บริษัทสามารถทำเบี้ยรับรวมได้ถึง 1 แสนล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ประมาณ 8.8 หมื่นล้านบาทได้
ทั้งนี้ บริษัทยังคงให้ความสำคัญต่อการขายผ่านช่องทางตัวแทน โดยตั้งเป้าเพิ่มตัวแทนขายในปีนี้อีก 3 หมื่นคน และ 3 เดือนที่ผ่านมาก็สามารถเพิ่มตัวแทนขายได้แล้วถึง 8.6 พันคน จากปัจจุบันบริษัทมีตัวแทนขายทั้งหมด 7.2 หมื่นคน
ส่วนตัวแทนที่มียอดขายสม่ำเสมอจะอยู่ที่ 2.1 หมื่นคนต่อเดือน ซึ่งหลังจากนี้บริษัทคาดว่าในเดือนสิงหาคมบริษัทจะมีตัวแทนที่มียอดขายสม่ำเสมอสูงที่สุดถึง 2.3 หมื่นคน โดยจะเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดที่บริษัทเคยมีมา
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้บริษัทยังมีโจทย์ในการหาสินค้ามารองรับกรมธรรม์ที่ครบอายุประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งอาจเป็นกรมธรรม์ระยะสั้นที่มีผลตอบแทนที่บริษัทมีอยู่แล้ว และเคยได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าก็เป็นได้ เนื่องจากสินค้าประเภทนี้น่าจะใช้รองรับความต้องการของลูกค้าที่ต้องการกระจายความเสี่ยงของเงินฝาก หลังจากที่ พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝากมีการบังคับใช้อย่างเต็มที่ในวันที่ 11 สิงหาคม 2555 ได้อีกด้วย