กบข.เผยอัตราส่งเงินสะสมเข้ากองทุนของ กบข.ยังต่ำเมื่อเทียบกับอัตราเฉลี่ยของกองทุนบำนาญทั่วโลกที่ 15% ของเงินเดือน ชี้ เงินออมหลังเกษียณจะเพียงพอใช้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับอัตราเงินออม ระยะเวลาการออม และผลตอบแทนการลงทุน ล่าสุด เปิดโอกาสให้สมาชิก กบข.ออมเพิ่มสูงสุด 12% พร้อมลดหย่อนภาษี
นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย เลขาธิการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กล่าวว่า ปัจจุบันอัตราส่งเงินสะสมเข้า กบข.เดือนละ 8% ของเงินเดือน (เงินสะสมของสมาชิก 3% + เงินสมทบ และเงินชดเชยจากภาครัฐ 5%) ถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับกองทุนบำนาญประเทศต่างๆ ซึ่งโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 15% เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพแห่งชาติประเทศสิงคโปร์ (Central Provident Fund: CPF) มีอัตราการส่งเงินสะสมเข้ากองทุนสูงถึง 30% กองทุนสำรองเลี้ยงชีพสำหรับลูกจ้าง (Employee Provident Fund: EPF) ประเทศมาเลเซีย มีอัตราส่งเงินสะสมอยู่ที่ 23% เป็นต้น ขณะที่วิวัฒนาการทางการแพทย์ก้าวหน้า ทำให้อายุขัยของประชากรโลกยืนยาวเฉลี่ยอยู่ที่ 70-75 ปี ดังนั้น การออมเงินเพื่อการเกษียณจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรเริ่มต้นทันที เพื่อให้มีเงินออมเพียงพอสำหรับใช้จ่ายในช่วงที่ไม่มีรายได้ประจำ
ทั้งนี้ ผู้เกษียณจะมีรายได้เพียงพอสำหรับใช้จ่ายหรือไม่ ขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลัก คือ 1) อัตราเงินออมที่เหมาะสม 2) ระยะเวลาการออมที่เพียงพอ และ 3) อัตราผลตอบแทนการลงทุนของกองทุน ยิ่งเริ่มต้นออมเร็ว ระยะเวลาออมนาน เพียงพอ บวกกับอัตราเงินออมรายเดือนที่เหมาะสม พลังของดอกเบี้ยทบต้นจะยิ่งช่วยทวีคูณเงินออมในอนาคต
ด้วยเหตุนี้ กบข.จึงส่งเสริมและเปิดช่องทางให้สมาชิกออมเพิ่มตั้งแต่เริ่มรับราชการ โดยสามารถออมเพิ่มได้สูงสุด 12% ของเงินเดือน ยิ่งสมาชิกออมเพิ่ม พลังของดอกเบี้ยทบต้นจะช่วยเพิ่มพูนเงินออมในอนาคต เมื่อสมาชิกเกษียณก็จะมีเงินออมเพียงพอสำหรับการดำรงชีวิต ทั้งนี้ ที่ผ่านมาผลตอบแทนการลงทุนของ กบข.เฉลี่ยตั้งแต่จัดตั้งกองทุน (ปี 2540- 2554) อยู่ที่ประมาณ 7% สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราเงินเฟ้อ
ปัจจุบัน ณ เดือนมีนาคม 2555 มีสมาชิก กบข.ออมเพิ่มจำนวน 13,804 ราย โดยมากกว่าครึ่งสมาชิกเลือกออมเพิ่มสูงสุดที่ 12% ของเงินเดือน สำหรับสมาชิก กบข.ที่สนใจออมเพิ่ม สามารถศึกษาข้อมูลได้จากเว็บไซต์ กบข.www.gpf.or.th หรือ โทร.1179 กด 6