Thai BMA เป็นปลึ้มต่างชาติ แห่งลงทุนบอนด์ระยะยาว ตั้งเป้า 3 ปีโตเพิ่ม 80% ของจีดีพี ปัจจุบันมียอดถือครองกว่า 500,000 ล้านบาท
นายนิวัฒน์ กาญจนภูมินทร์ กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย หรือ Thai BMA เปิดเผยว่า ในอีก 3 ปีข้างหน้าทางสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทยตั้งเป้าตลาดการเติบโตของตราสารหนี้ไว้ถึง 80% ของจีดีพี ซึ่งปัจจุบันประมาณ 60% และปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติปัจจุบันมีการถือครองกว่า 500,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ การถือครองของนักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่แล้วจะยังคงเน้นการลงทุนระยะยาวมากกว่าระยะสั้นยังคงเป็นระยะยาวมากกว่าระยะสั้น แม้ว่าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาต่างชาติจะหันมาลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นเพิ่มมากขึ้นก็ตามแต่การถือครองส่วนใหญ่ยังเป็นตราสารหนี้ระยะยาวอยู่ประมาณ 60% ซึ่งแนวโน้มนี้ยังคงจะมีอย่างต่อเนื่องจากแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยเอง
"หลังจากที่นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในบ้านเราเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้การซื้อขายในตลาดตราสารหนี้มีความคึกคักมากขึ้นด้วย เพราะเป็นกลุ่มนักลงทุนที่มีการซื้อและขายมากกว่านักลงทุนไทยเองที่นิยมซื้อแล้วถือไปจนครบอายุซึ่งช่วยให้ตลาดรองตราสารหนี้ดีขึ้นด้วย" นายนิวัฒน์ กล่าว
นายนิวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของหุ้นกู้ช่วง 2 เดือนแรกที่ผ่านมา ภาคเอกชนได้มีการระดมทุนไปแล้ว กว่า 100,000 ล้านบาท และในส่วนของตราสารหนี้จะมีการออกเพื่มาชดเชยการออกตั๋วบี/อี เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้แก่นักลงทุน ซึ่งปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ได้ออกมาแล้ว 4 แห่ง ทั้งนี้การระดมทุนเพื่อเพิ่มทางเลือกด้านการลงทุนจะทำได้ 3 วิธีด้วยกัน ได้แก่ 1.การระดมเงินฝาก 2.การขายสินทรัพย์ที่ลงทุนอยู่ออกไปเพื่อเปลี่ยนเป็นเงินสดและ 3.การระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้
"ขณะนี้ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งได้ระดมเงินผ่านการออกหุ้นกู้มากขึ้น และมีโอกาสในช่วงที่เหลือของปี จะมีการออกหุ้นกู้ระยะสั้นอีกจำนวนมาก รวมทั้งออกผลิตภัณฑ์อื่น เพื่อแข่งขันการระดมเงินฝาก โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ธนาคารได้ขายพันธบัตรที่ถือครองออกมา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพันธบัตรอายุตั้งแต่ 2-10 ปีซึ่งก็เป็นเรื่องของการบริหารเงินลงทุนของธนาคารแต่ละแห่ง ประกอบกับเป็นจังหวะที่นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนตลาดตราสารหนี้ไทยเพิ่มมากขึ้นอีก โดยเฉพาะตราสารหนี้ระยะสั้น ซึ่งในเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนซื้อถึง 70-80% ของยอดรวมในตลาดตราสารหนี้" นายนิวัฒน์ กล่าว
ทั้งนี้ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย รายงานภาวะตลาดตราสารหนี้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (19- 23 มีนาคม 2555) ว่า เส้นอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) ขยับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วงต้นสัปดาห์ เนื่องจากมีแรงขายทำกำไรในระยะสั้นๆ จากนักลงทุนในตลาด เพื่อรอผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่มีขึ้นในวันที่ 21 มี.ค. ซึ่งผลการประชุมเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้คือ กนง.มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 3.00% ทั้งนี้ในช่วงปลายสัปดาห์ อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ10ปี กลับมาปรับตัวลดลงตามความกังวลในเรื่องของการปรับลดปริมาณการออกพันธบัตรรัฐบาล (Bond Supply) ระยะยาว
ของกระทรวงการคลัง อันเนื่องมาจากต้นทุนด้านดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ความกังวลดังกล่าวมีผลทำให้เกิดแรงซื้อเข้ามาในพันธบัตรอายุ 10 ปี ในขณะที่มีแรงขายในพันธบัตรระยะสั้น (อายุน้อยกว่า5ปี) ออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเข้าซื้อพันธบัตรในช่วงอายุที่ยาวขึ้นทดแทน
ทางด้านสถานการณ์ในต่างประเทศ นักลงทุนยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ภายหลังจากการประกาศตัวเลข PMI Manufacturing ในเดือนมีนาคม ของจีนและยุโรปซึ่งปรับตัวลดมากกว่าที่ตลาดได้คาดการณ์เอาไว้ค่อนข้างมาก ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นภาพของการถดถอยในภาคการผลิตของประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป เช่นเยอรมนี และฝรั่งเศส รวมถึงการเริ่มชะลอความร้อนแรงทางเศรษฐกิจ ของประเทศผู้นำในทวีปเอเชีย เช่นจีน ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ในสัปดาห์ที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติมียอด ซื้อสุทธิ 9,593 ล้านบาทในตลาดตราสารหนี้ โดยมูลค่าการซื้อขายส่วนใหญ่ของนักลงทุนกลุ่มนี้ยังคงเน้นไปในตราสารระยะสั้น (มีอายุคงเหลือน้อยกว่า 1 ปี) เป็นหลัก และสำหรับนักลงทุนรายย่อย มีสัดส่วนของการซื้อขายตราสารหนี้ในตลาดค่อนข้างน้อย โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมามียอดขายสุทธิประมาณ 1,971 ล้านบาท