xs
xsm
sm
md
lg

ThaiBMAเล็งออกไฮด์ยิลด์บอนด์ ดึงบ.กลาง-เล็กเข้าระดมทุนผ่านตลาด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สมาคมตราสารหนี้ เผยต่างชาติเข้าหันถือบอนด์ระยะสั้นของไทยมากขึ้น ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนมูลค่าตลาดตราสารหนี้เป็น 80% ของGDP ในอีก 3 ปี ข้างหน้า เล็งออก High Yield Bond หวังดึงบริษัทขนาดกลาง-เล็ก เข้ามาระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้

นายนิวัฒน์ กาญจนภูมินทร์ กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยว่า ปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติมียอดถือครองตราสารหนี้สุทธิเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมีมูลค่าถือครองประมาณ 500,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 7 - 8% ของตลาดตราสารหนี้ ซึ่งหากเทียบกับนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นที่มีประมาณ 20 - 30% แล้ว ถือว่ายังไม่มาก และเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีสัดส่วนของนักลงทุนต่างชาติลงทุนในตลาดตราสารหนี้เป็นระดับเลข 2 หลัก เช่น อินโดนีเซีย มาเลย์เซ๊ย หรือสิงคโปร์ เป็นต้น ก็ถือว่าของไทยยังมีสัดส่วนไม่มากและส่วนใหญ่การถือครองของนักลงทุนต่างชาติยังคงเป็นระยะยาวมากกว่าระยะสั้น แม้ว่าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาต่างชาติจะหันมาลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นเพิ่มมากขึ้นก็ตามแต่การถือครองส่วนใหญ่ยังเป็นตราสารหนี้ระยะยาวอยู่ประมาณ 60% ซึ่งแนวโน้มนี้ยังคงจะมีอย่างต่อเนื่องจากแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยเอง ทั้งนี้การเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติยังทำให้การซื้อขายในตลาดตราสารหนี้มีความคึกคักมากขึ้นด้วย เพราะเป็นกลุ่มนักลงทุนที่มีการซื้อและขายมากกว่านักลงทุนไทยเองที่นิยมซื้อแล้วถือไปจนครบอายุซึ่งช่วยให้ตลาดรองตราสารหนี้ดีขึ้น

ทั้งนี้ประเทศไทยยังคงต้องการเงินลงทุนจากต่างชาติและนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี หากจะใช้มาตรการภาษีเพื่อควบคุมเงินทุนเคลื่อนย้ายของต่างชาติคิดว่าเป็นมาตรการที่ไม่ค่อยเป็นมิตรนักและนักลงทุนต่างชาติเองก็คงไม่ชอบ แต่หากจะพิจารณาใช้มาตรการในการให้โควตาในการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติแทน น่าจะดีกว่า แล้วรัฐก็คอยดูพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติไป ถ้ามีพฤติกรรมในการเข้ามาเก็งกำไรในปีต่อไปก็อาจจะพิจารณายึดโควตาคืน เขาก็เข้ามาลงทุนไม่ได้ในลักษณะนี้น่าจะเป็นมาตรการที่เป็นมิตรมากกว่า

นายนิวัฒน์ ยังกล่าวอีกว่า สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทยเองตั้งเป้าจะเพิ่มสัดส่วนมูลค่าตลาดตราสารหนี้ขึ้นเป็น 80% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในอีก 3 ปี ข้างหน้า จากปัจจุบันมีสัดส่วนประมาณ 60% ของ GDP เท่านั้น โดยการพัฒนาตลาดตราสารหนี้คงจะต้องเพิ่มโพรดักท์ให้มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น การเปิดให้มีการออกตราสารหนี้ที่ต่ำกว่าระดับที่ลงทุนได้ (High Yield Bond) เพื่อให้บริษัทขนาดกลางและเล็กสามารถเข้ามาระดมุทนในตลาดตราสารหนี้เป็นทางเลือกการลงทุนได้ดียิ่งขึ้น เพราะปัจจุบันบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) มีประมาณ 400 บริษัท แต่ที่ระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้มีเพียง 80 บริษัท เท่านั้น ทั้งที่บริษัทเหล่านี้สามารถจะใช้ตลาดตราสารหนี้ระดมทุนได้เช่นกัน เพียงแต่อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนเกณฑ์เกี่ยวกับการออกตราสารหนี้ประเภท High Yield Bond ออกมาให้ชัดเจนขึ้น เป็นต้น อย่างไรก็ตามในปี55 นี้ บริษัทคาดว่าการระดมทุนผ่านหุ้นกู้ของบริษัทเอกชนมีโอกาสจะทำสถิติสูงสุดใหม่มากกว่า 3.9 แสนล้านบาท ที่เคยทำไว้ได้ในปี52 ได้เช่นกัน

“ตั้งแต่ต้นปีมามีการออกหุ้นกู้มาแล้ว 1 แสนล้านกว่าบาท ทั้งปีก็มีโอกาสมากที่จะเห็นการออกหุ้นกู้มากขึ้นแตะระดับ 3.9 แสนล้านบาท ได้เช่นกัน เพราะปกติก็ออกเพิ่มเฉลี่ยปีละ 10% อยู่แล้ว และในปีนี้ธนาคารพาณิชย์ก็น่าจะมีการหันมาออกหุ้นกู้มากขึ้นด้วย เพราะคงจะมีบางส่วนที่จะหันมาออกหุ้นกู้แทนตั๋วแลกเงิน (B/E) ที่ปัจจุบันมีในระบบกว่า 1.5 ล้านล้านบาท บางส่วนด้วยเช่นกัน” นายนิวัฒน์ กล่าว

นายนิวัฒน์ ยังกล่าวว่า ปัจจุบันกลุ่มอาเซียนได้ร่วมกันตั้งกองทุน Credit Guarantee and Investment Facilities (CGIF) ขึ้นมามูลค่ากองทุนประมาณ 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งไทยได้โควต้ามาประมาณ 140 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อจะมาการันตีหุ้นกู้ของบริษัทเอกชนที่จะระดมทุนเพื่อให้เขาสามารถระดมทุนด้วยต้นทุนทางการเงินที่ถูกลงและบริษัทนั้นก็ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับกองทุน ซึ่งคาดว่าในช่วงไตรมาสที่2-3/55 นี้ น่าจะเห็นเป็นรูปธรรมขึ้นมาได้ นอกจากนี้ทางสมาคมตลาดตราสารหนี้ยังได้หารือกับทางกรมสรรพากรในการที่จะให้มีการยกเว้นภาษีกำไร (Capital Gain) จากการลงทุนในตราสารหนี้ด้วย ซึ่งในเบื้องต้นทางกรมสรรพากรก็เห็นด้วยที่จะยกเว้นภาษีให้ในส่วนนี้ ก็คงจะผลักดันต่อไปและอย่างช้าในปีหน้าเรื่องนี้น่าจะเห็นเป็นรูปธรรมได้
กำลังโหลดความคิดเห็น