บลจ.เกียรตินาคิน แนะนักลงทุนล๊อกเงินในกองทุนคุ้มครองเงินต้น ส่งกองทุน"เคเค สะสมทรัพย์คุ้มครองเงินต้น 3" ลงทุน 3 เดือนให้ยิลด์ 2.70% ต่อปี พร้อมกองทุน "เคเค สะสมทรัพย์คุ้มครองเงินต้น 1"ลงทุน 1 เดือนให้ยิลด์ 2.60% ต่อปี เปิดขายหน่วยลงทุนแล้วตั้งแต่วันนี้ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2555
นายศุภกร สุนทรกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เกียรตินาคิน จำกัด หรือ KKFund กล่าวว่า สภาวะตลาดตราสารหนี้ระยะสั้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรุ่นอายุน้อยกว่า 1 ปีในรอบ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาเคลื่อนไหวในช่วงแคบๆ โดยตลาดส่วนใหญ่ยังคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยในครึ่งปีแรกของปี 2555 โดยเฉพาะหลังจากที่สภาพัฒน์ประกาศตัวเลข GDP ในไตรมาส 4 ปี 2554 ที่มีการปรับตัวลดลงถึง -9% ซึ่งมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ซึ่งส่งผลให้อัตราผลตอบแทนระยะสั้นมีแนวโน้มปรับตัวลดลง
โดยการลงทุนในกองทุนคุ้มครองเงินต้นระยะสั้น จึงตอบโจทย์ผู้ลงทุน เพราะกองทุนประเภทนี้เน้นลงทุนในพันธบัตรภาครัฐ ซึ่งไม่มีความผันผวนด้านราคา ไม่มีความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระหนี้ รวมถึงให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก จึงมองว่ากองทุนดังกล่าวเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เหมาะกับสถานการณ์ในขณะนี้
ทั้งนี้บริษัทอยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดประเภท Roll Over จำนวน 2 กองทุน คือกองทุนเคเค สะสมทรัพย์คุ้มครองเงินต้น 3 (KK SP 3) อายุโครงการ 3 เดือน ที่ลงทุนในพันธบัตรภาครัฐในประเทศประมาณ 95.45% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน และส่วนที่เหลือลงทุนในเงินฝากประจำธนาคารพาณิชย์ ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 2.70% ต่อปี
นอกจากนี้ยังมีทางเลือกให้กับนักลงทุนที่มองหาการลงทุนระยะสั้น1เดือน ด้วยการ Roll Over กองทุนเปิดเคเค สะสมทรัพย์คุ้มครองเงินต้น 1 (KK SP 1) มีอายุโครงการ 1 เดือน ที่ลงทุนในพันธบัตรภาครัฐในประเทศประมาณ 100% ได้รับผลตอบแทนประมาณ 2.60% ต่อปี โดยจะเสนอขายพร้อมกันทั้ง 2 กองทุน ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 28 ก.พ. 55 เนื่องจากเป็นกองทุนที่คุ้มครองเงินลงทุนทั้งจำนวนจนครบกำหนดการลงทุนกองทุน จึงมีความมั่นคงสูง เหมาะกับนักลงทุนที่ไม่ชอบความเสี่ยงอีกด้วย
ขณะเดียวกันบลจ. เกียรตินาคิน มีแผนที่จะเปิดขายกองทุนเปิดเคเค ทาร์เก็ต 7% #2 โดยตั้งเป้าผลตอบแทนไว้ที่ 7%ในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2555 นี้ โดยบลจ.ประเมินว่าเศรษฐกิจปีนี้คาดเติบโต 2.8-4.5% โดยได้รับปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของทุกภาคส่วนจากภาวะวิกฤติน้ำท่วมปลายปีที่ผ่านมา การออกนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และมองเงินเฟ้อปีนี้ที่ 3.01% โดยแบงค์ชาติน่าจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ที่ 2.50-2.75% โดยคาดจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในการประชุมเดือน มี.ค. 2555 โดยประมาณการดัชนี้หุ้นมองไว้ที่ 1230 จุด และยังมั่นใจว่าเศรษฐกิจจะพื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากการกระตุ้นของภาครัฐและเอกชน
นายศุภกร สุนทรกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เกียรตินาคิน จำกัด หรือ KKFund กล่าวว่า สภาวะตลาดตราสารหนี้ระยะสั้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรุ่นอายุน้อยกว่า 1 ปีในรอบ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาเคลื่อนไหวในช่วงแคบๆ โดยตลาดส่วนใหญ่ยังคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยในครึ่งปีแรกของปี 2555 โดยเฉพาะหลังจากที่สภาพัฒน์ประกาศตัวเลข GDP ในไตรมาส 4 ปี 2554 ที่มีการปรับตัวลดลงถึง -9% ซึ่งมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ซึ่งส่งผลให้อัตราผลตอบแทนระยะสั้นมีแนวโน้มปรับตัวลดลง
โดยการลงทุนในกองทุนคุ้มครองเงินต้นระยะสั้น จึงตอบโจทย์ผู้ลงทุน เพราะกองทุนประเภทนี้เน้นลงทุนในพันธบัตรภาครัฐ ซึ่งไม่มีความผันผวนด้านราคา ไม่มีความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระหนี้ รวมถึงให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก จึงมองว่ากองทุนดังกล่าวเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เหมาะกับสถานการณ์ในขณะนี้
ทั้งนี้บริษัทอยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดประเภท Roll Over จำนวน 2 กองทุน คือกองทุนเคเค สะสมทรัพย์คุ้มครองเงินต้น 3 (KK SP 3) อายุโครงการ 3 เดือน ที่ลงทุนในพันธบัตรภาครัฐในประเทศประมาณ 95.45% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน และส่วนที่เหลือลงทุนในเงินฝากประจำธนาคารพาณิชย์ ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 2.70% ต่อปี
นอกจากนี้ยังมีทางเลือกให้กับนักลงทุนที่มองหาการลงทุนระยะสั้น1เดือน ด้วยการ Roll Over กองทุนเปิดเคเค สะสมทรัพย์คุ้มครองเงินต้น 1 (KK SP 1) มีอายุโครงการ 1 เดือน ที่ลงทุนในพันธบัตรภาครัฐในประเทศประมาณ 100% ได้รับผลตอบแทนประมาณ 2.60% ต่อปี โดยจะเสนอขายพร้อมกันทั้ง 2 กองทุน ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 28 ก.พ. 55 เนื่องจากเป็นกองทุนที่คุ้มครองเงินลงทุนทั้งจำนวนจนครบกำหนดการลงทุนกองทุน จึงมีความมั่นคงสูง เหมาะกับนักลงทุนที่ไม่ชอบความเสี่ยงอีกด้วย
ขณะเดียวกันบลจ. เกียรตินาคิน มีแผนที่จะเปิดขายกองทุนเปิดเคเค ทาร์เก็ต 7% #2 โดยตั้งเป้าผลตอบแทนไว้ที่ 7%ในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2555 นี้ โดยบลจ.ประเมินว่าเศรษฐกิจปีนี้คาดเติบโต 2.8-4.5% โดยได้รับปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของทุกภาคส่วนจากภาวะวิกฤติน้ำท่วมปลายปีที่ผ่านมา การออกนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และมองเงินเฟ้อปีนี้ที่ 3.01% โดยแบงค์ชาติน่าจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ที่ 2.50-2.75% โดยคาดจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในการประชุมเดือน มี.ค. 2555 โดยประมาณการดัชนี้หุ้นมองไว้ที่ 1230 จุด และยังมั่นใจว่าเศรษฐกิจจะพื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากการกระตุ้นของภาครัฐและเอกชน