โดยวรวรรณ ธาราภูมิ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
บลจ.บัวหลวง
คนไทยชักจะมีพฤติกรรมคล้ายคนชาติอื่นๆ เข้าไปทุกทีในเรื่องทัศนคติเกี่ยวกับการมีคู่
คือชอบ เป็นคี่ มากกว่า เป็นคู่ ไปซะแล้ว เพราะคนเริ่มกลัวการแต่งงานกันมากขึ้น พวกผู้ชายเขาถึงกับบ่นว่า คำว่า “แต่งงาน” เป็นศัพท์ที่บัญญัติโดยสตรีล้วนๆ โดยปราศจากการยินยอมพร้อมใจของพวกผู้ชาย
สำหรับคู่แต่งงานนั้น คนอเมริกันมีสถิติว่าหย่าร้างสูงถึง 50% ส่วนสถิติของคนไทย สารภาพตรงๆ เลยว่าไม่รู้ว่าจะไปหาดูสถิติได้ที่ไหน น่าอายชะมัด
หลายคนบอกว่าปัญหาที่ต้องหย่าร้าง มันเกิดในห้องนอน หลายคู่ก็เป็นเพราะเบื่อหน้ากัน
แต่ที่จริงแล้วปัญหาที่เกิดจากการเงินของครอบครัวกลับเป็นสาเหตุหลักมากกว่าเรื่องอื่น
คู่สมรสจำนวนมากหย่าร้างกันเพราะปัญหาทางการเงินมากกว่าเรื่องไม่ซื่อสัตย์ต่อคู่ของตน และโดยพื้นฐานแล้ว การแต่งงานต้องเกิดจากความเชื่อมั่นไว้วางใจกันและกัน ประมาณว่าเธอเป็นครึ่งหนึ่งของชีวิต (บางคนอาจรำพึงตอนนี้ว่า “ครึ่งของชีวิตที่ดี หรือ ครึ่งชีวิตที่เลวร้าย กันแน่ว้า”)
เมื่อใดที่เราละเมิดในเรื่องความซื่อสัตย์ต่อกัน เมื่อนั้นก็มีเรื่อง มันจะทำลายความสัมพันธ์ของคู่ชีวิต เพราะการแต่งงานก็เหมือนการรวม 2 กิจการเข้าด้วยกัน
มันอาจจะฟังดูไม่โรแมนติคเอาเสียเลยที่ไปบอกว่าการแต่งงานเหมือนการรวมกิจการ แทนที่จะใช้คำพูดหลอกเด็กว่า “แล้วเจ้าชายกับเจ้าหญิงก็แต่งงานกัน มีชีวิตที่เป็นสุขไปชั่วนิจนิรันดร์”
อืม ... นิจนิรันดร์ ... ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ
คำเตือน : “การแต่งงานมีความเสี่ยง ห้ามมีคู่เกินครั้งละ1 คน ชีวิตสมรสในอดีตไม่ได้รับประกันความสงบสุขในอนาคต จงอ่านคำเตือนก่อนจดทะเบียน”
ก็อยากจะเตือนๆ กันว่า ก้าวแรกก่อนจะคิดถึงการตัดเค้กฉลองแต่งงานที่หมดเปลืองและรสชาติห่วยเป็นส่วนใหญ่ ขอแนะนำว่าต้องคุยกันเรื่องเงินกันตรงๆ ก่อน ห้ามขี้ตั๊วะ ห้ามขี้จุ๊ และห้ามขี้ฮก
1.ทุกๆ อย่างที่เป็นของผม จะเป็นของคุณเมื่อเราแต่งงานกันแล้ว
หูย ... หวานหมูละสิ แต่ระวังให้ดีเหอะ เพราะทุกอย่างที่เขามีมันอาจเป็นหนี้สินก็ได้ และหากแย่กว่านั้น เราอาจได้หนี้สินในขณะที่เขาเอาทรัพย์สินกับทุนไปทั้งหมด
2.ภาระหนี้สินก่อนแต่งน่ะเหรอ ไม่มี้ ไม่มี
ระวังให้ดี เราต้องซื่อสัตย์ต่อกัน หากมีภาระหนี้สินต้องบอกกันด้วย บางคนเถียงว่าขืนบอกก็อดแต่งน่ะสิ
อ้าว ... แล้วไม่กลัวแต่งกันสามวันหย่าเหรอ
ต้องระวังหนี้สินที่อาจเกิดจากงานช้างในวันสมรสด้วย ทำอะไรให้พอดีตัวสมฐานะ จะดีกว่างานวันเดียวที่ทำให้เหนื่อยแทบขาดไปกับการเตรียมการนั้น แล้วมันคุ้มกันไหมที่ต้องไปหน้าดำคร่ำเครียดกับการใช้หนี้หลังแต่ง ในเมื่อความอลังการของงานสมรสไม่ได้เป็นหลักประกันต่อความสุขของชีวิตคู่
3.บ้าน รถ ลูก บุคคลที่เราต้องดูแล
สามเรื่องนี้ ต้องตกลงกันให้รู้เรื่องก่อนแต่งว่าจะเอาอย่างไรดี
หากไม่ได้โชคดีมีมรดกหรือไม่มีพ่อแม่มาหาให้ก็ควรเริ่มอย่างพอตัว อย่าทนทรมานอดหยาก อย่าดำรง ชีวิตอย่างกระจอกงอกง่อยเพราะต้องผ่อนส่งจำนวนมากจนเสียสติ จนสุขภาพกายทรุดโทรม สุขภาพจิตย่ำแย่ เครียดจนหาความสุขไม่ได้ มันไม่คุ้ม และชีวิตสมรสจะไม่ยั่งยืน
เรื่องลูกก็ต้องวางแผนว่าจะมีหรือไม่มี หากมี จะมีเมื่อไหร่ มีกี่คนถึงจะสะใจ และใครจะเลี้ยง
หากมีพ่อ แม่ ญาติ หรือใครที่เราต้องดูแลก็ต้องคุยกันให้เข้าใจและยอมรับกันก่อนแต่ง จะได้ไม่เกิดอาการ Love me kick my dog และจะได้ไม่ต้องหาแผนกำจัดพ่อตา แม่ผัว ที่สำคัญก็คือ ในช่วงแต่งงานกันใหม่ๆ ควรใช้เวลาอยู่กันสองคนก่อนสักพัก 1-2 ปี เพื่อให้เรียนรู้ชีวิตครอบครัวกับปรับชีวิตจนลงตัวกันโดยไม่มีปัจจัยอื่นมาแทรก
เรียกว่าทะเลาะกันสองคนจนเข้าใจ ก่อนจะหาใครมาทะเลาะด้วยเพิ่ม โดยเฉพาะคนที่มีแม่ยายปากจัด หรือที่มีแม่ผัวจอมโหด
อย่าลืมเป็นอันขาดว่าเราทั้ง 2 คน ต้องเตรียมแผนการเงินและแผนการดำเนินชีวิตไว้พร้อมสำหรับลูก บ้าน รถ และคนที่เราดูแล หากลองทำแล้วไม่ลงตัว เห็นแต่หายนะ ก็อย่าเดินหน้าเลย
4.ผมให้เงินเดือนคุณหมดเลยนะ
ปลื้มไหมล่ะ กรี๊ดดดดด ....ระวังให้ดี บางคนที่ทำแบบนี้ เขาจะขอบัตรเอทีเอ็มไป สมมติเงินเดือนเขา 3 หมื่นบาทแล้วเอามาให้เราหมดเลย เราก็เอาไปคุยอวดเพื่อนๆ ให้มันอิจฉาวาสนาเราใช่ไหมล่ะ แต่เราเผลอเอาบัตรเอทีเอ็มบัญชีร่วมไปให้เขาใช้ แถมด้วยบัตรเครดิตที่เราต้องจ่ายให้เขา เพราะเขาให้เราเป็นคนจัดการเงินทอง
เราอาจสลบเหมือดเมื่อพบว่าไม่เหลือเงินในบัญชี และหนี้บัตรเครดิตที่พ่อทูนหัวแม่ทูนเกล้าของเราละเลงไว้ให้เราดูต่างหน้าก็สูงกว่าเงินเดือน 3 หมื่นบาทของเขาเสมอ
ชีวิตคู่ที่ดีนั้น ต้องไม่ให้ใครคนใดคนหนึ่งจัดการเงินทองไปเพียงลำพัง ต้องทำบัญชีรายรับ รายจ่าย และแผนการเงินร่วมกัน แล้วแบ่งส่วนเป็นของแต่ละคนที่จะใช้จ่ายได้เสรี แบ่งส่วนรวมในครอบครัว กับแบ่งส่วนสะสมเพื่ออนาคต
5.ฉันจะใช้สอยอย่างประหยัดค่ะ
ผู้หญิงหลายคนตกเป็นทาสของการ Shopping เข้าขั้นบ้าคลั่ง ในช่วงก่อนแต่ง หรือแต่งงานกันใหม่ๆ จะบอกว่า ที่รัก ชั้นจะประหยัดเงินเพื่ออนาคตที่ดีของเรานะคร้า แต่อยู่ๆ ไป ทำไมมีกระเป๋าถือถึง 30 ใบ มีรองเท้าตั้ง 50 คู่ ก็ไม่รู้ หนูไม่รู้ เอาไม่อยู่คร้า ...
ความสุรุ่ยสุร่ายเป็นบ่อเกิดของความยากจน หากคู่ของเราทำตนเป็นไอคอนแห่งแฟชั่น เราก็โชคร้าย ยกเว้นเราเป็นเศรษฐีจริงๆ และเต็มใจที่จะให้คู่สมรสใช้เงินของเราไปซื้อความสุข มิฉะนั้น คงอยู่กันไม่ยืด
สรุป ในเชิงธุรกิจนั้น ก่อนจะรวมกิจการกัน เราต้องรู้มูลค่าของกิจการทั้งสองแห่งก่อน ในเมื่อเราจะไม่ไปรวมบริษัทของเรากับใครโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ ทำไมเราถึงได้ผลีผลามแต่งงานเพียงเพราะกำลังรัก กำลังหลง หรือกลัวคานจนขึ้นสมอง จุดเริ่มต้นของชีวิตสมรสที่มีความสุขคือการเปิดใจคุยกันเรื่องแผนชีวิต และแผนการเงินกันให้ลงตัวเสียก่อน แล้วจึงตัดสินใจว่าจะแต่งงานกันดีไหม
หากศึกษากันแล้วพบว่าไม่น่าจะไปกันได้รอด ก็ขอแนะนำว่า
“แม้นแผ่นดินสิ้นชายที่พึงเชย ไปมีคู่เป็นกระเทยยังดีกว่า”
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
บลจ.บัวหลวง
คนไทยชักจะมีพฤติกรรมคล้ายคนชาติอื่นๆ เข้าไปทุกทีในเรื่องทัศนคติเกี่ยวกับการมีคู่
คือชอบ เป็นคี่ มากกว่า เป็นคู่ ไปซะแล้ว เพราะคนเริ่มกลัวการแต่งงานกันมากขึ้น พวกผู้ชายเขาถึงกับบ่นว่า คำว่า “แต่งงาน” เป็นศัพท์ที่บัญญัติโดยสตรีล้วนๆ โดยปราศจากการยินยอมพร้อมใจของพวกผู้ชาย
สำหรับคู่แต่งงานนั้น คนอเมริกันมีสถิติว่าหย่าร้างสูงถึง 50% ส่วนสถิติของคนไทย สารภาพตรงๆ เลยว่าไม่รู้ว่าจะไปหาดูสถิติได้ที่ไหน น่าอายชะมัด
หลายคนบอกว่าปัญหาที่ต้องหย่าร้าง มันเกิดในห้องนอน หลายคู่ก็เป็นเพราะเบื่อหน้ากัน
แต่ที่จริงแล้วปัญหาที่เกิดจากการเงินของครอบครัวกลับเป็นสาเหตุหลักมากกว่าเรื่องอื่น
คู่สมรสจำนวนมากหย่าร้างกันเพราะปัญหาทางการเงินมากกว่าเรื่องไม่ซื่อสัตย์ต่อคู่ของตน และโดยพื้นฐานแล้ว การแต่งงานต้องเกิดจากความเชื่อมั่นไว้วางใจกันและกัน ประมาณว่าเธอเป็นครึ่งหนึ่งของชีวิต (บางคนอาจรำพึงตอนนี้ว่า “ครึ่งของชีวิตที่ดี หรือ ครึ่งชีวิตที่เลวร้าย กันแน่ว้า”)
เมื่อใดที่เราละเมิดในเรื่องความซื่อสัตย์ต่อกัน เมื่อนั้นก็มีเรื่อง มันจะทำลายความสัมพันธ์ของคู่ชีวิต เพราะการแต่งงานก็เหมือนการรวม 2 กิจการเข้าด้วยกัน
มันอาจจะฟังดูไม่โรแมนติคเอาเสียเลยที่ไปบอกว่าการแต่งงานเหมือนการรวมกิจการ แทนที่จะใช้คำพูดหลอกเด็กว่า “แล้วเจ้าชายกับเจ้าหญิงก็แต่งงานกัน มีชีวิตที่เป็นสุขไปชั่วนิจนิรันดร์”
อืม ... นิจนิรันดร์ ... ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ
คำเตือน : “การแต่งงานมีความเสี่ยง ห้ามมีคู่เกินครั้งละ1 คน ชีวิตสมรสในอดีตไม่ได้รับประกันความสงบสุขในอนาคต จงอ่านคำเตือนก่อนจดทะเบียน”
ก็อยากจะเตือนๆ กันว่า ก้าวแรกก่อนจะคิดถึงการตัดเค้กฉลองแต่งงานที่หมดเปลืองและรสชาติห่วยเป็นส่วนใหญ่ ขอแนะนำว่าต้องคุยกันเรื่องเงินกันตรงๆ ก่อน ห้ามขี้ตั๊วะ ห้ามขี้จุ๊ และห้ามขี้ฮก
1.ทุกๆ อย่างที่เป็นของผม จะเป็นของคุณเมื่อเราแต่งงานกันแล้ว
หูย ... หวานหมูละสิ แต่ระวังให้ดีเหอะ เพราะทุกอย่างที่เขามีมันอาจเป็นหนี้สินก็ได้ และหากแย่กว่านั้น เราอาจได้หนี้สินในขณะที่เขาเอาทรัพย์สินกับทุนไปทั้งหมด
2.ภาระหนี้สินก่อนแต่งน่ะเหรอ ไม่มี้ ไม่มี
ระวังให้ดี เราต้องซื่อสัตย์ต่อกัน หากมีภาระหนี้สินต้องบอกกันด้วย บางคนเถียงว่าขืนบอกก็อดแต่งน่ะสิ
อ้าว ... แล้วไม่กลัวแต่งกันสามวันหย่าเหรอ
ต้องระวังหนี้สินที่อาจเกิดจากงานช้างในวันสมรสด้วย ทำอะไรให้พอดีตัวสมฐานะ จะดีกว่างานวันเดียวที่ทำให้เหนื่อยแทบขาดไปกับการเตรียมการนั้น แล้วมันคุ้มกันไหมที่ต้องไปหน้าดำคร่ำเครียดกับการใช้หนี้หลังแต่ง ในเมื่อความอลังการของงานสมรสไม่ได้เป็นหลักประกันต่อความสุขของชีวิตคู่
3.บ้าน รถ ลูก บุคคลที่เราต้องดูแล
สามเรื่องนี้ ต้องตกลงกันให้รู้เรื่องก่อนแต่งว่าจะเอาอย่างไรดี
หากไม่ได้โชคดีมีมรดกหรือไม่มีพ่อแม่มาหาให้ก็ควรเริ่มอย่างพอตัว อย่าทนทรมานอดหยาก อย่าดำรง ชีวิตอย่างกระจอกงอกง่อยเพราะต้องผ่อนส่งจำนวนมากจนเสียสติ จนสุขภาพกายทรุดโทรม สุขภาพจิตย่ำแย่ เครียดจนหาความสุขไม่ได้ มันไม่คุ้ม และชีวิตสมรสจะไม่ยั่งยืน
เรื่องลูกก็ต้องวางแผนว่าจะมีหรือไม่มี หากมี จะมีเมื่อไหร่ มีกี่คนถึงจะสะใจ และใครจะเลี้ยง
หากมีพ่อ แม่ ญาติ หรือใครที่เราต้องดูแลก็ต้องคุยกันให้เข้าใจและยอมรับกันก่อนแต่ง จะได้ไม่เกิดอาการ Love me kick my dog และจะได้ไม่ต้องหาแผนกำจัดพ่อตา แม่ผัว ที่สำคัญก็คือ ในช่วงแต่งงานกันใหม่ๆ ควรใช้เวลาอยู่กันสองคนก่อนสักพัก 1-2 ปี เพื่อให้เรียนรู้ชีวิตครอบครัวกับปรับชีวิตจนลงตัวกันโดยไม่มีปัจจัยอื่นมาแทรก
เรียกว่าทะเลาะกันสองคนจนเข้าใจ ก่อนจะหาใครมาทะเลาะด้วยเพิ่ม โดยเฉพาะคนที่มีแม่ยายปากจัด หรือที่มีแม่ผัวจอมโหด
อย่าลืมเป็นอันขาดว่าเราทั้ง 2 คน ต้องเตรียมแผนการเงินและแผนการดำเนินชีวิตไว้พร้อมสำหรับลูก บ้าน รถ และคนที่เราดูแล หากลองทำแล้วไม่ลงตัว เห็นแต่หายนะ ก็อย่าเดินหน้าเลย
4.ผมให้เงินเดือนคุณหมดเลยนะ
ปลื้มไหมล่ะ กรี๊ดดดดด ....ระวังให้ดี บางคนที่ทำแบบนี้ เขาจะขอบัตรเอทีเอ็มไป สมมติเงินเดือนเขา 3 หมื่นบาทแล้วเอามาให้เราหมดเลย เราก็เอาไปคุยอวดเพื่อนๆ ให้มันอิจฉาวาสนาเราใช่ไหมล่ะ แต่เราเผลอเอาบัตรเอทีเอ็มบัญชีร่วมไปให้เขาใช้ แถมด้วยบัตรเครดิตที่เราต้องจ่ายให้เขา เพราะเขาให้เราเป็นคนจัดการเงินทอง
เราอาจสลบเหมือดเมื่อพบว่าไม่เหลือเงินในบัญชี และหนี้บัตรเครดิตที่พ่อทูนหัวแม่ทูนเกล้าของเราละเลงไว้ให้เราดูต่างหน้าก็สูงกว่าเงินเดือน 3 หมื่นบาทของเขาเสมอ
ชีวิตคู่ที่ดีนั้น ต้องไม่ให้ใครคนใดคนหนึ่งจัดการเงินทองไปเพียงลำพัง ต้องทำบัญชีรายรับ รายจ่าย และแผนการเงินร่วมกัน แล้วแบ่งส่วนเป็นของแต่ละคนที่จะใช้จ่ายได้เสรี แบ่งส่วนรวมในครอบครัว กับแบ่งส่วนสะสมเพื่ออนาคต
5.ฉันจะใช้สอยอย่างประหยัดค่ะ
ผู้หญิงหลายคนตกเป็นทาสของการ Shopping เข้าขั้นบ้าคลั่ง ในช่วงก่อนแต่ง หรือแต่งงานกันใหม่ๆ จะบอกว่า ที่รัก ชั้นจะประหยัดเงินเพื่ออนาคตที่ดีของเรานะคร้า แต่อยู่ๆ ไป ทำไมมีกระเป๋าถือถึง 30 ใบ มีรองเท้าตั้ง 50 คู่ ก็ไม่รู้ หนูไม่รู้ เอาไม่อยู่คร้า ...
ความสุรุ่ยสุร่ายเป็นบ่อเกิดของความยากจน หากคู่ของเราทำตนเป็นไอคอนแห่งแฟชั่น เราก็โชคร้าย ยกเว้นเราเป็นเศรษฐีจริงๆ และเต็มใจที่จะให้คู่สมรสใช้เงินของเราไปซื้อความสุข มิฉะนั้น คงอยู่กันไม่ยืด
สรุป ในเชิงธุรกิจนั้น ก่อนจะรวมกิจการกัน เราต้องรู้มูลค่าของกิจการทั้งสองแห่งก่อน ในเมื่อเราจะไม่ไปรวมบริษัทของเรากับใครโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ ทำไมเราถึงได้ผลีผลามแต่งงานเพียงเพราะกำลังรัก กำลังหลง หรือกลัวคานจนขึ้นสมอง จุดเริ่มต้นของชีวิตสมรสที่มีความสุขคือการเปิดใจคุยกันเรื่องแผนชีวิต และแผนการเงินกันให้ลงตัวเสียก่อน แล้วจึงตัดสินใจว่าจะแต่งงานกันดีไหม
หากศึกษากันแล้วพบว่าไม่น่าจะไปกันได้รอด ก็ขอแนะนำว่า
“แม้นแผ่นดินสิ้นชายที่พึงเชย ไปมีคู่เป็นกระเทยยังดีกว่า”