บลจ.เกียรตินาคิน สร้างแบนด์เป็นบลจ.ทางเลือก เน้นสร้างกองทุนรวมที่ตอบโจทย์นักลงทุน อาทิ Absolute Return การบริหารกองทุนแบบ Active Management พร้อมประเมินกรอบหุ้นไทยเคลื่อนไหว1,150 - 1,250 จุด
นายศุภกร สุนทรกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เกียรตินาคิน จำกัด กล่าวว่า การลงทุนในปี55 ปัจจัยเสี่ยงหลักยังอยู่ที่ปัญหาหนี้ยุโรปที่จะกดดันบรรยากาศการลงทุนทั่ว โลกต่อเนื่อง ในส่วนของเศรษฐกิจไทยเองนั้นแม้ว่าในไตรมาสที่4/54 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไทยจะติดลบจากปัญหาน้ำท่วมก็ตาม แต่บริษัทมองว่าช่วงไตรมาสที่1/55 น่าจะเริ่มเห็นการกลับมาเติบโตได้บ้างแต่จะเห็นเด่นชัดในไตรมาสที่2/55 เป็น ต้นไป
โดยปัจจัยบวกที่สำคัญคือการฟื้นฟูน้ำท่วมที่จะมีเม็ดเงินลงทุนจำนวนมากไหล เข้ามาในระบบ แต่ประเด็นที่ควรต้องสนใจมากกว่าคือเรื่องของประสิทธิภาพในการใช้เงินลงทุน เหล่านั้นด้วยว่าจะมีมากน้อยแค่ไหน นอกจากนี้การที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (R/P 1 วัน) ลงมาก็จะเป็นปัจจัยบวกที่สนับสนุนให้ภาคธุรกิจมีการลงทุนเพิ่มมากขึ้นเช่น กัน อย่างไรก็ตามแนวโน้มดอกเบี้ยที่ลดลงอาจจะทำให้กองทุนตราสารตลาดเงินหรือกอง ทุนตราสารหนี้ที่มีอายุ (Term Fund) อาจจะมีความน่าสนใจลดลงไปด้วยได้เช่นกัน โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี55 เพราะอยู่ในช่วงดอกเบี้ยขาลง
อย่างไรก็ตามบริษัทคงจะต้องมองหาโปรดักท์ใหม่มาตอบโจทย์นักลงทุนมากขึ้น เช่น กองทุนที่เน้นกลยุทธ์การบริหารเพื่อสร้างผลตอบแทนที่เป็นบวก (Absolute Return) รวมถึงกองทุนที่จะต้องใช้การบริหารเชิงรุก (Active Management) มากขึ้น ตลอดจนกองทุนอสังหาริมทรัพย์และกองทุนรวมสาธารณูปโภค (Infrastructure Fund) ที่น่าจะมีความน่าสนใจมากขึ้นเพราะผลตอบแทนค่อนข้างดีและสม่ำเสมอในระยะยาวก็ น่าจะมีออกมาให้เห็นมากขึ้น และคาดว่าในปี55 กฎเกณฑ์เกี่ยวกับกองทุนทรัสต์เพื่อลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ก็น่าจะเสร็จเรียบร้อย และกระตุ้นให้กองทุน REIT มีการเติบโตขึ้นในไทยอย่างต่อเนื่องหลังจากนี้
นายศุภกร ยังกล่าวอีกว่า ในปี55 คาดว่าอุตสาหกรรมกองทุนรวมในภาพรวมในแง่ของปริมาณเงินทั้งระบบจะยังคงเติบโต ต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยบวกที่สำคัญจากการที่สถาบันคุ้มครองเงินฝากจะลดความคุ้มครองลงมา เหลือ 1 ล้านบาท ซึ่งน่าจะทำให้มีเม็ดเงินลงทุนบางส่วนไหลเข้ามาลงทุนในตลาดทุน ดังนั้นในแง่ของบลจ.เองคงต้องมองหาโพรดักท์เพื่อจะมารองรับเม็ดเงินส่วนนี้ เอาไว้ด้วย ในส่วนของตลาดหุ้นไทยในปี55 บริษัทมองเป้าหมายไว้ที่ 1,150 - 1,250 จุด
โดยปัจจัยเสี่ยงหลักของตลาดหุ้นไทยบนสมมติฐานว่าการเมืองในประเทศนิ่ง ก็ยังเป็นเรื่องของยุโรปและปัญหาสหรัฐซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกประเทศเป็นหลัก ที่จะออกมาทำให้บรรยากาศการลงทุนไม่ค่อยดีนัก ด้านสินค้าโภคภัณฑ์เองในปี55 ยังมองว่าทองคำจะเป็นสินทรัพย์ที่ลงทุนได้และให้ผลตอบแทนที่ดี แต่จะมีความผันผวนมากขึ้นเช่นเดียวกับช่วงครึ่งหลังของปี54 นี้ อย่างไรก็ตามก็ยังคงน่าสนใจกว่าน้ำมัน
"ในส่วนของบลจ.เกียตินาคินเอง เราคงเน้นออกผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ๆ หลากหลายรูปแบบ เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ให้กับนักลงทุนที่ต้องการผลิตภัณฑ์ที่ให้ผลตอบแทนที่ ดี โดยในปี55 บริษัทจะมีการนำการบริหารกองทุนด้วยคอมพ์ในลักษณะของ Quant มาใช้ในกระบวนการลงทุนมากขึ้นด้วยเช่นกัน”
สำหรับคอมมอนีตีนั้นในปีนี้ทองคำถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่ราคาค่อนข้าง ผันผวนอยู่บ้างแต่ก็ถือว่ายังให้ผลตอบแทนที่ดี ซึ่งคาดว่าในปีหน้าก็คงให้ผลตอบแทนที่ดีเช่นกันแต่ต้องระวังความผันผวนด้วย ส่วนน้ำมันทีผ่านมาราคาไม่หวือหวาและน่าสนใจเท่าที่ควร ซึ่งราคาเพิ่งจะขยับขึ้นมาในช่วงก่อนปลายปีเนื่องจากได้อานิสงค์ของค่าเงิน ดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัว ซึ่งในปีหน้าคาดว่าราคาก็ผันผวนเช่นกัน
"เรามองว่าปีหน้าการลงทุนในสินค้า soft community ทองคำ รวมถึงหุ้นก็ค่อนข้างน่าสนใจ" นายศุภกรกล่าว