ยูโอบี ชี้ ปี 55 ปัญหายุโรปยังกดดันการลงทุน แต่ให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดเอเชีย ระบุ ปีหน้าสถาบันคุ้มครองเงินฝากคุ้มครองเหลือ 1 ล้าน ส่งผลดีต่อธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนตราสารตลาดเงิน พร้อมแนะพอร์ตการลงทุนปีหน้าจัดหุ้น 20% ตราสารหนี้ 70% ทองคำ 5% และเงินสด 5%
นาย กรวุฒิ ลีนะบรรจง ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ไทย) เปิดเผยว่า ปัญหาของยุโรปเองจะยังคงเป็นปัจจัยกดดันบรรยากาศการลงทุนในปี 2555 อย่างต่อเนื่อง ขณะที่สหรัฐเองการฟื้นตัวยังดูดีกว่าฝั่งยุโรปมากพอสมควร ส่วนจีนเองมีแนวโน้มจะซบเซายาวต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันทางกลุ่มยูโอบีเองยังให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมญี่ปุ่น) มากกว่าตลาด โดยให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นตลาดสหรัฐเท่ากับตลาด และให้น้ำหนักการลงทุนน้อยกว่าตลาดในหุ้นยุโรป ขณะเดียวกันยังคงให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากกว่าตลาดเช่นเดียวกัน และมองว่าตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันยังมีความน่าสนใจเมื่อเทียบกับประเทศอื่นใน ภูมิภาค และหากปัญหาในยุโรปคลี่คลายแล้วเม็ดเงินลงทุนต่างชาติมีการจัดสรรกลับมาลง ทุนในตลาดหุ้นเอเชียอีกครั้ง ตลาดหุ้นไทยก็จะได้รับอานิสงส์นั้นด้วย โดยบริษัทมองเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 2555 ไว้ที่ประมาณ 1,200 จุด ปรับลดลงมาจากเดิมเล็กน้อยหลังจากที่เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
ทั้งนี้ผลกระทบจากน้ำท่วมจะส่งผลต่อตัวเลขเศรษฐกิจและกำไรบริษัทในช่วงไตรมาสที่4/54 ค่อนข้างมาก แต่ก็หวังว่าจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวและกลับมาผลิตได้อีกครั้งตั้งแต่ไตร มาสที่2/54 เป็นต้นไป ในส่วนของตลาดหุ้นไทยเองปัจจัยเสี่ยงหลักในปัจจุบันยังมาจากความผันผวนใน ต่างประเทศเป็นหลัก ส่วนในประเทศเองนั้นอุปสงค์ในประเทศทั้งจากการบริโภคและการลงทุนที่จะเกิด ขึ้นตามมาหลังน้ำท่วมยังคงแข็งแกร่ง และบนสมมติฐานว่าการเมืองนิ่ง โอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ 4.5 - 5.0% ตามที่หลายฝ่ายมองไว้ก็มีเช่นเดียวกัน โดยหุ้นที่อิงกับดีมานด์ในประเทศยังคงเป็นกลุ่มที่ลงทุนได้ เช่น สื่อสาร พาณิชย์ นาคารพาณิชย์ เป็นต้น
นาย กรวุฒิ ยังกล่าวอีกว่า ปีหน้าเมื่อสถาบันคุ้มครองเงินฝากลดความคุ้มครองลงเหลือ 1 ล้านบาทต่อคนต่อธนาคารแล้ว คงจะส่งผลบวกต่อธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลในระดับหนึ่ง รวมทั้งจะเป็นปัจจัยบวกต่อการเติบโตของกองทุนตราสารตลาดเงินด้วยเช่นกัน เพราะกองทุนตราสารตลาดเงินเองนั้นมีการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ และมีความมั่นคงสูงเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้วและจะเน้นไปในตราสารหนี้ภาครัฐเป็น หลัก ประกอบกับผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝากออมทรัพย์ก็เชื่อว่าจะเป็นหนี่งในกองทุน ที่น่าจะได้รับอานิสงส์จากสถาบันคุ้มครองเงินฝากในปีหน้า
ในส่วนของธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลของบริษัทเองก็มีการเติบโตขึ้นตามลำดับ นักลงทุนที่เป็นลูกค้ามีความสนใจที่จะออกไปลงทุนในโพรดักท์ประเภทไหนบริษัท ก็สามารถตอบสนองให้ได้ เพราะกลุ่มยูโอบีที่สิงคโปร์เองก็มีความพร้มในเรื่องของโพรดักท์อยู่แล้ว ในแง่ขงอโพรดักท์ใหม่ๆ ในปี55 ก็คงจะมีออกมาแต่ก็จะดูให้เหมาะสมกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าด้วย บางโพรดักท์อาจจะเหมาะกับกองทุนส่วนบุคคลแต่บางโพรดักท์อาจจะเหมาะที่จะนำ เสนอในรูปของกองทุนรวม แต่ภูมิภาคที่บริษัทสนใจยังคงเป็นเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมญี่ปุ่น)
“ ในปีหน้า แนะนำนักลงทุนจัดสรรเงินลงทุนในหุ้น 20% ตราสารหนี้ 70% ทองคำ 5% และเงินสด 5% โดยหุ้นกับทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่ยังน่าสนใจลงทุนอยู่ในปี55 โดยบริษัทมองแนวโน้มราคาทองคำไว้ที่ระดับ 1,900 - 2,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แต่แนะให้ถือลงทุนระยะยาวไม่เหมาะกับการลงทุนในลักษณะเก็งกำไร เพราะหากเข้าลงทุนผิดรอบหรือผิดจังหวะก็มีโอกาสขาดทุนได้เช่นเดียวกัน เพราะทองคำในระยะยาวบริษัทยังมีมุมมองในเชิงบวกอยู่เช่นกัน” นายกรวุฒิ กล่าว