คาดเอเชียอาจรับผลกระทบจากปัญหายุโรป ทั้งภาคส่งออกและการลงทุน แต่โดยรวมยังดีเงินสำรองสูง ชี้ อินโดนิเซียแข็งแกร่งที่สุดและอาจเป็นที่พักเงินลงทุนหนีปัญหาศก. ส่วนไทย ในปีหน้าจะมีการลงทุนมากขึ้นเพื่อกระตุ้นศก.และอาจเห็นดบ.ลงอยู่ที่ 2.5%
นายสันติธาร เสถียรไทย Economist Non - Japan Asia Economics Research จาก Credit Suisse AG (ประเทศสิงคโปร์) กล่าวถึง ภาพรวมเศรษฐกิจเอเชียและไทยว่า จากปัญหาเศรษฐกิจของยุโรปได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกรวมถึงเอเชียและไทยด้วย โดยส่งผลกระทบต่อการส่งออกและจะส่งผลต่อเนื่องไปถึงภาคการลงทุนในประเทศด้วย ขณะเดียวกันเศรษฐกิจของเอเชียก็ยังคงมีความเสี่ยงหากเศรษฐกิจยุโรปเกิดปัญหาหนักขึ้น เพราะแม้ว่าประเทศในเอเชียจะมีจีดีพีที่สูง แต่ต้องจับตาดูเงินลงทุนระยะสั้นจากแบงก์ในยุโรปที่เข้ามาลงทุนเพราะอาจจะถูกดึงเงินกลับไปก่อนเมื่อเศรษฐกิจประสบปัญหา ขณะที่การด้านการคลังประเทศในเอเชียยังมีเงินทุนสำรองที่มากจะมีเพียงแต่อินเดียที่เก็บภาษีได้ต่ำ
ทั้งนี้หากเศรษฐกิจโลกเกิดการชะลอตัวลง ฮ่องกงกับไต้หวัน อาจจะได้รับผลกระทบมาก แต่ประเทศที่แข็งแกร่งที่สุด คืออินโดนิเซีย ซึ่งอาจเป็นที่ที่ใช้พักเงินลงทุนไว้ได้ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกประสบปัญหา
ส่วนประเทศไทยเศรษฐกิจมีการเติบโตได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็นโดยเฉพาะในด้านการบริโภคและการลงทุนตั้งแต่เกิดวิกฤติในปี 2540 การลงทุนในประเทศไทยไม่ได้เติบโตขึ้นเพิ่มขึ้นเลย โดยปัจจุบันมีการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 22% ซึ่งควรมีอยู่ที่ 30% เพราะจะทำให้เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตอย่างยั่งยืนที่ 5- 6% ขณะที่การบริโภคที่ไม่สูงอาจจะทำให้ไม่เติบโตอย่างที่คาดไว้ ดังนั้นอาจเป็นไปได้ว่าในปีหน้าแบงก์ชาติน่าจะลดดอกเบี้ยลงเหลือ 2.5% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายประเทศให้เติบโต
โดยสภาพัฒฯ คาดว่า ในปีหน้าเศรษฐกิจไทยจะโตที่ประมาณ 4.8 -5% จากการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังปัญหาน้ำท่วมนั้น มองว่าในปีหน้าเศรษฐกิจจะต้องโตเฉลี่ย 2% ทุกไตรมาส และได้กำลังการทั้งหมดกลับมาในไตรมาสที่ 1
"ดังนั้นในปีหน้าธีมของเศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะเป็นการลงทุนโดยส่วนใหญ่ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับน้ำท่วม รวมไปถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยที่รัฐบาลต้องอัดฉีดมากขึ้น และเงินบาทในระยะสั้นน่าจะอนลงมา"นายสันติธาร กล่าว
ด้านนายอดิเทพ วรรณพฤกษ์ รองประธานเจ้าหน้าบริหาร ฝ่ายการลงทุน ประเทศไทย บลจ. อเบอร์ดีน จำกัด กล่าวถึงตลาดเอเชียโดยรวมยังแข็งแกร่งราคาหุ้นเฉลี่ยยังต่ำกง่าเมื่อเทียบกับ 7 -8 ที่ผ่านมา ขณะที่หุ้นไทยปีหนี้มีความผันผวนมากจากปัญหาเศรษฐกิจในต่างประเทศ แต่โดยภสพรวมแล้วเศราฐกิจเอเชียและไทยยังคงลำบากจากผลกระทบของปัญหาหนี้ในยุโรปและสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2008 ที่ยังไม่ได้รับการแก้ที่ตัวปัญหา แต่บลจ.อเบอร์ดี ลงทุนในธุรกิจที่ไม่ซับซ้อนแม้ว่าจะเกิดปัญหาต่างๆที่ผ่านมาทุกครั้งบริษัทที่ลงทุนก็กัลบมาเติบโตได้
ล่าสุดบริษัทได้ออกกองทุนเปิด เอเชีย แฟซิฟิค เอคควิตี้ เพื่อการเลี้ยงชีพ (ABAPAC - RMF) โดยเปิดขายตั้งแต่วันที่ 1- 8 ธันวาคม 2554 และเปิดเสอขายอีกครั้งในวันที่ 15 ธันวาคม 2554
สำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนใยกองทุน LTF-RMF ของอเบอร์ดีน สามารถชำระงเนผ่านระบบชำระเงินค่าซื้อหน่วยลงทุนปกกติหรือชำระด้วยบัตรเครดิต ซิตี้แบงก์ ได้โดยตรงที่ บลจ.อเบอร์ดีน นอกจากนี้ผู้ลงทุนจะได้รับหน่วยลงทุนในกองทุนเปิด อเบอร์ดีน แคชครีเอชั่น มูลค่า 13,000 สำหรับยอกเงินลงทุนสับเปลี่ยนเข้าหรือโอนเข้าทุกๆ 1 ล้านบาทตามเงือนไขของโปรโมชั่น LTF-RMF อีกด้วย
นายสันติธาร เสถียรไทย Economist Non - Japan Asia Economics Research จาก Credit Suisse AG (ประเทศสิงคโปร์) กล่าวถึง ภาพรวมเศรษฐกิจเอเชียและไทยว่า จากปัญหาเศรษฐกิจของยุโรปได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกรวมถึงเอเชียและไทยด้วย โดยส่งผลกระทบต่อการส่งออกและจะส่งผลต่อเนื่องไปถึงภาคการลงทุนในประเทศด้วย ขณะเดียวกันเศรษฐกิจของเอเชียก็ยังคงมีความเสี่ยงหากเศรษฐกิจยุโรปเกิดปัญหาหนักขึ้น เพราะแม้ว่าประเทศในเอเชียจะมีจีดีพีที่สูง แต่ต้องจับตาดูเงินลงทุนระยะสั้นจากแบงก์ในยุโรปที่เข้ามาลงทุนเพราะอาจจะถูกดึงเงินกลับไปก่อนเมื่อเศรษฐกิจประสบปัญหา ขณะที่การด้านการคลังประเทศในเอเชียยังมีเงินทุนสำรองที่มากจะมีเพียงแต่อินเดียที่เก็บภาษีได้ต่ำ
ทั้งนี้หากเศรษฐกิจโลกเกิดการชะลอตัวลง ฮ่องกงกับไต้หวัน อาจจะได้รับผลกระทบมาก แต่ประเทศที่แข็งแกร่งที่สุด คืออินโดนิเซีย ซึ่งอาจเป็นที่ที่ใช้พักเงินลงทุนไว้ได้ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกประสบปัญหา
ส่วนประเทศไทยเศรษฐกิจมีการเติบโตได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็นโดยเฉพาะในด้านการบริโภคและการลงทุนตั้งแต่เกิดวิกฤติในปี 2540 การลงทุนในประเทศไทยไม่ได้เติบโตขึ้นเพิ่มขึ้นเลย โดยปัจจุบันมีการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 22% ซึ่งควรมีอยู่ที่ 30% เพราะจะทำให้เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตอย่างยั่งยืนที่ 5- 6% ขณะที่การบริโภคที่ไม่สูงอาจจะทำให้ไม่เติบโตอย่างที่คาดไว้ ดังนั้นอาจเป็นไปได้ว่าในปีหน้าแบงก์ชาติน่าจะลดดอกเบี้ยลงเหลือ 2.5% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายประเทศให้เติบโต
โดยสภาพัฒฯ คาดว่า ในปีหน้าเศรษฐกิจไทยจะโตที่ประมาณ 4.8 -5% จากการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังปัญหาน้ำท่วมนั้น มองว่าในปีหน้าเศรษฐกิจจะต้องโตเฉลี่ย 2% ทุกไตรมาส และได้กำลังการทั้งหมดกลับมาในไตรมาสที่ 1
"ดังนั้นในปีหน้าธีมของเศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะเป็นการลงทุนโดยส่วนใหญ่ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับน้ำท่วม รวมไปถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยที่รัฐบาลต้องอัดฉีดมากขึ้น และเงินบาทในระยะสั้นน่าจะอนลงมา"นายสันติธาร กล่าว
ด้านนายอดิเทพ วรรณพฤกษ์ รองประธานเจ้าหน้าบริหาร ฝ่ายการลงทุน ประเทศไทย บลจ. อเบอร์ดีน จำกัด กล่าวถึงตลาดเอเชียโดยรวมยังแข็งแกร่งราคาหุ้นเฉลี่ยยังต่ำกง่าเมื่อเทียบกับ 7 -8 ที่ผ่านมา ขณะที่หุ้นไทยปีหนี้มีความผันผวนมากจากปัญหาเศรษฐกิจในต่างประเทศ แต่โดยภสพรวมแล้วเศราฐกิจเอเชียและไทยยังคงลำบากจากผลกระทบของปัญหาหนี้ในยุโรปและสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2008 ที่ยังไม่ได้รับการแก้ที่ตัวปัญหา แต่บลจ.อเบอร์ดี ลงทุนในธุรกิจที่ไม่ซับซ้อนแม้ว่าจะเกิดปัญหาต่างๆที่ผ่านมาทุกครั้งบริษัทที่ลงทุนก็กัลบมาเติบโตได้
ล่าสุดบริษัทได้ออกกองทุนเปิด เอเชีย แฟซิฟิค เอคควิตี้ เพื่อการเลี้ยงชีพ (ABAPAC - RMF) โดยเปิดขายตั้งแต่วันที่ 1- 8 ธันวาคม 2554 และเปิดเสอขายอีกครั้งในวันที่ 15 ธันวาคม 2554
สำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนใยกองทุน LTF-RMF ของอเบอร์ดีน สามารถชำระงเนผ่านระบบชำระเงินค่าซื้อหน่วยลงทุนปกกติหรือชำระด้วยบัตรเครดิต ซิตี้แบงก์ ได้โดยตรงที่ บลจ.อเบอร์ดีน นอกจากนี้ผู้ลงทุนจะได้รับหน่วยลงทุนในกองทุนเปิด อเบอร์ดีน แคชครีเอชั่น มูลค่า 13,000 สำหรับยอกเงินลงทุนสับเปลี่ยนเข้าหรือโอนเข้าทุกๆ 1 ล้านบาทตามเงือนไขของโปรโมชั่น LTF-RMF อีกด้วย