กลุ่มบริษัทเอไอเอมั่นใจศักยภาพไทย ทุ่มงบ 10,500 ล้าน ลงทุน 2 โครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่
มร. มาร์ค ทัคเกอร์ กรรมการอำนวยการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทเอไอเอ เปิดเผยว่า เอไอเอได้เพิ่มการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในไทยอีก 2 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 10,500 ล้านบาท โดยโครงการแรกคือ อาคารเอไอเอ แคปปิตอล เซ็นเตอร์ ซึ่งนับเป็นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มูลค่าสูงที่สุดในประเทศไทยของเอไอเอ โครงการดังกล่าว เป็นอาคารสำนักงานเชิงพาณิชย์สูง 35 ชั้น ซึ่งตั้งอยู่ข้างที่ทำการแห่งใหม่ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และจะเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์กลางการเงินการลงทุนแห่งแรกของประเทศไทย โดยคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปลายปี 2557 ส่วนอีกหนึ่งโครงการคืออาคารเอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ อาคารสำนักงานเชิงพาณิชย์บริเวณถนนสาทร ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2558 โดยทั้ง 2 อาคารได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิดเพื่อสิ่งแวดล้อมอันทันสมัย เพื่อช่วยประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนในอนาคต
“เอไอเอ ภาคภูมิใจที่ได้ดำเนินธุรกิจอย่างมั่นคงในประเทศไทยมาแล้วถึง 73 ปี เราเชื่อมั่นในอนาคตของประเทศไทยและศักยภาพของคนไทย การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทั้ง 2 โครงการ ได้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่เอไอเอมีต่อการเจริญเติบโตของประเทศไทยในระยะยาว” มร. มาร์คกล่าว
ด้านมร. รอน แวน โอเยน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวต่อถึงเป้าหมายในการสร้างความรับรู้เกี่ยวกับ Protection Gap หรือช่องว่างด้านความคุ้มครองในกลุ่มคนไทยว่า จากผลการศึกษาของเอไอเอ ประเทศไทย เมื่อไม่นานมานี้ พบว่า 76% ของคนไทย หรือคิดเป็นจำนวนมากกว่า 48 ล้านคนนั้น ไม่มีประกันชีวิต ในขณะที่ความจำเป็นในการทำประกันชีวิต เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับค่ารักษาพยาบาลในกรณีฉุกเฉิน ได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ซึ่งเอไอเอ ประเทศไทย ในฐานะผู้นำตลาดที่มีความเชี่ยวชาญอย่างลึกซึ้งด้านการประกันชีวิตในภูมิภาคนี้ มีเป้าหมายที่จะช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม
“ผลการศึกษาของเอไอเอแสดงให้เห็นว่า การได้รับความคุ้มครองที่น้อยเกินไปเป็นปัญหาสำคัญในประเทศไทย ผู้บริโภคชาวไทยควรตระหนักถึงช่องว่างระหว่างการคุ้มครองที่มีอยู่ กับความคุ้มครองที่เหมาะสม เพื่อเป็นหลักประกันทางการเงินสำหรับตนเองและครอบครัวหากมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น และควรพิจารณาถึงการออมเงินอย่างสม่ำเสมอเพื่อเป็นทุนสำรองไว้ใช้หลังวัยเกษียณด้วย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกล่าว
อย่างไรก็ตาม นอกจากการลงทุนในประเทศไทยแล้ว กลุ่มบริษัทเอไอเอ ยังให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุกทกภัยด้วยการการบริจาคเงิน การมอบถุงยังชีพ อาหาร น้ำดื่ม และเสื้อผ้าให้แก่ชุมชนที่ประสบภัย รวมทั้งการร่วมเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือผู้ประสบภัยของพนักงานด้วย
มร. มาร์ค ทัคเกอร์ กรรมการอำนวยการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทเอไอเอ เปิดเผยว่า เอไอเอได้เพิ่มการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในไทยอีก 2 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 10,500 ล้านบาท โดยโครงการแรกคือ อาคารเอไอเอ แคปปิตอล เซ็นเตอร์ ซึ่งนับเป็นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มูลค่าสูงที่สุดในประเทศไทยของเอไอเอ โครงการดังกล่าว เป็นอาคารสำนักงานเชิงพาณิชย์สูง 35 ชั้น ซึ่งตั้งอยู่ข้างที่ทำการแห่งใหม่ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และจะเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์กลางการเงินการลงทุนแห่งแรกของประเทศไทย โดยคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปลายปี 2557 ส่วนอีกหนึ่งโครงการคืออาคารเอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ อาคารสำนักงานเชิงพาณิชย์บริเวณถนนสาทร ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2558 โดยทั้ง 2 อาคารได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิดเพื่อสิ่งแวดล้อมอันทันสมัย เพื่อช่วยประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนในอนาคต
“เอไอเอ ภาคภูมิใจที่ได้ดำเนินธุรกิจอย่างมั่นคงในประเทศไทยมาแล้วถึง 73 ปี เราเชื่อมั่นในอนาคตของประเทศไทยและศักยภาพของคนไทย การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทั้ง 2 โครงการ ได้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่เอไอเอมีต่อการเจริญเติบโตของประเทศไทยในระยะยาว” มร. มาร์คกล่าว
ด้านมร. รอน แวน โอเยน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวต่อถึงเป้าหมายในการสร้างความรับรู้เกี่ยวกับ Protection Gap หรือช่องว่างด้านความคุ้มครองในกลุ่มคนไทยว่า จากผลการศึกษาของเอไอเอ ประเทศไทย เมื่อไม่นานมานี้ พบว่า 76% ของคนไทย หรือคิดเป็นจำนวนมากกว่า 48 ล้านคนนั้น ไม่มีประกันชีวิต ในขณะที่ความจำเป็นในการทำประกันชีวิต เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับค่ารักษาพยาบาลในกรณีฉุกเฉิน ได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ซึ่งเอไอเอ ประเทศไทย ในฐานะผู้นำตลาดที่มีความเชี่ยวชาญอย่างลึกซึ้งด้านการประกันชีวิตในภูมิภาคนี้ มีเป้าหมายที่จะช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม
“ผลการศึกษาของเอไอเอแสดงให้เห็นว่า การได้รับความคุ้มครองที่น้อยเกินไปเป็นปัญหาสำคัญในประเทศไทย ผู้บริโภคชาวไทยควรตระหนักถึงช่องว่างระหว่างการคุ้มครองที่มีอยู่ กับความคุ้มครองที่เหมาะสม เพื่อเป็นหลักประกันทางการเงินสำหรับตนเองและครอบครัวหากมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น และควรพิจารณาถึงการออมเงินอย่างสม่ำเสมอเพื่อเป็นทุนสำรองไว้ใช้หลังวัยเกษียณด้วย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกล่าว
อย่างไรก็ตาม นอกจากการลงทุนในประเทศไทยแล้ว กลุ่มบริษัทเอไอเอ ยังให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุกทกภัยด้วยการการบริจาคเงิน การมอบถุงยังชีพ อาหาร น้ำดื่ม และเสื้อผ้าให้แก่ชุมชนที่ประสบภัย รวมทั้งการร่วมเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือผู้ประสบภัยของพนักงานด้วย
