ASTVผู้จัดการรายวัน-นักวิเคราะห์กองทุนรวม เตือนนักลงทุนจับตาการแก้ปัญหาหนี้ยุโรป โดยเฉพาะกรีซ พร้อมประเมินระยะสั้นสินทรัพย์เสี่ยงยังผันผวน แนะชะลอการลงทุนถือเงินสดหรือ มันนี่มาร์เก็ต รอดูสถานการณ์ก่อนเข้าสะสะสมเพื่อลงทุนระยะยาว
นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังสภาเยอรมันผ่านมติเพิ่มเงินกองทุนรักษาเสถียรภาพยุโรป (EFSF) ในสัปดาห์ที่แล้ว สถานการณ์น่าจะคลีคลายในทางที่ดีขึ้น แต่โอกาสผิดนัดชำระหนี้ของกรีซยังไม่ได้ลดลงแต่อย่างใดเมื่อกรีซอาจจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายลดขาดดุลได้ตามที่ IMF และ EU กำหนดไว้ ทำให้สินทรัพย์เสี่ยงยังต้องเผชิญความผันผวนต่อไป ด้วยเหตุนี้เราจึงยังคงคำแนะนำเหมือนกับสัปดาห์ก่อนหน้าคือ ระยะสั้นชะลอการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงออกไปถือเงินสด หรือลงทุนกองทุน Money Market Funds (แนะนำ PCASH ของ บลจ. ฟิลลิป) รอดูสถานการณ์ให้ชัดเจนก่อนตัดสินใจสะสมสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อการลงทุนระยะยาว
โดยจับตาพัฒนาการการแก้ปัญหาหนี้กรีซ และการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ หรือทยอยสะสมเพิ่มเมื่อราคาปรับลดลงแรง โดยเรายังคงเน้นกองทุนที่ลงทุนในตลาดเกิดใหม่ เอเชีย และกองทุนทองคำ (มีนโยบายการป้องกันความเสี่ยง) เป็นหลัก หรืออาจทยอยสะสมเมื่อราคาลงมาที่แนวรับสำคัญเช่น ทยอยสะสมกองทุนทองคำเพิ่มเมื่อราคาลงมาทดสอบแนวรับสำคัญ 1,550 US$/oz. เป็นต้นสำหรับนักลงทุน LTF ช่วงนี้เรายังคงแนะนำให้ Wait and see ต่อไปก่อน และพิจารณาเข้าทยอยสะสมเพิ่มอีกครั้งแถวแนวรับ 850 จุด โดยกองทุนที่เราแนะนำยังคงเป็น KFLTFDIV ของ บลจ. กรุงศรี ตามเดิม แต่สำหรับนักลงทุนที่ได้สับเปลี่ยน LTF ไปยัง Defensive LTF อย่าง KSDLTF(K-Strategic Defensive LTF) ตามที่ได้แนะนำไปก่อนหน้า เรายังแนะนำเหมือนเดิม คือไม่เห็นการเปลี่ยนแนวโน้มของ SETI เป็นขาขึ้นที่ชัดเจนให้ถือกองทุน KSDLTF ต่อไป จะสับเปลี่ยนต่อเมื่อ SETI มีแนวโน้มเป็นขาขึ้นเท่านั้น
นายสานุพงศ์ กล่าวต่อว่า เริ่มจากฝั่งสหรัฐในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตัวเลขเศรษฐกิจดูจะช่วยให้เราได้ผ่อนคลายความกังวลลงบ้าง หลังประกาศออกมาส่วนใหญ่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานล่าสุดที่ปรับตัวลดลง 37,000 ราย จาก 428,000 มาอยู่ที่ 391,000 ราย มากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้มาก ทำให้ตลาดมีความหวังว่าจะเห็นอัตราการว่างงาน และการจ้างงานนอกภาคเกษตรมีพัฒนาการในทางที่ดีขึ้น ลดโอกาสการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยลง นอกจากนี้ทางฝั่งยุโรปมีข่าวดีที่รัฐบาลของประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป โดยเฉพาะเยอรมันสนับสนุนการเพิ่มขนาดกองทุนEFSF (European Financial Stability Facility)
ทั้งนี้เรายังคงเห็นกระแสเงินทุนไหลออกจากตลาดเอเชียแม้ว่าสถานการณ์เงินเฟ้อในจีนเริ่มชะลอตัวลง ตัวเลข PMI ภาคการผลิต และภาคบริการของจีน ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่นักลงทุนขายหุ้นจีนก่อนช่วงหยุดยาววันชาติจีน ในสัปดาห์นี้ทั้งสัปดาห์ ขณะเดียวกันตลาดหุ้นไทยยังคงถูกขายต่อไปแม้ว่าต่างชาติจะชะลอการขายลง SETI ปรับลดลงต่อ -4.38% WoW อยู่ที่ 913.21 จุดโดยรวมแล้วตลาดหุ้นเอเชียยังคงมีแนวโน้มเป็นขาลงต่อไป ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงในยุโรปและสหรัฐยังกระตุ้นให้นักลงทุนหันเข้าหาดอลล่าร์สหรัฐในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
ส่วนดอลล่าร์สหรัฐยังคงแข็งค่าขึ้นเป็นปัจจัยกดดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่อไป แม้ว่าความเสี่ยงจากปัญหาหนี้ยุโรปอาจส่งผลดีกับทองคำในระยะถัดไป แต่นักลงทุนยังคงขายทองคำออกมาอย่างต่อเนื่อง กองทุน SPDR Gold Trust (กองทุน ETF ทองคำอันดับ1) สัปดาห์ที่แล้วลดการถือครองทองคำลงจากสัปดาห์ก่อนราว 20 ตัน จากสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่ราคาน้ำมันเองยังคงถูกกดดันจากภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และปัญหาหนี้ยุโรป ราคาน้ำมันปรับลดลงเล็กน้อย
นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังสภาเยอรมันผ่านมติเพิ่มเงินกองทุนรักษาเสถียรภาพยุโรป (EFSF) ในสัปดาห์ที่แล้ว สถานการณ์น่าจะคลีคลายในทางที่ดีขึ้น แต่โอกาสผิดนัดชำระหนี้ของกรีซยังไม่ได้ลดลงแต่อย่างใดเมื่อกรีซอาจจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายลดขาดดุลได้ตามที่ IMF และ EU กำหนดไว้ ทำให้สินทรัพย์เสี่ยงยังต้องเผชิญความผันผวนต่อไป ด้วยเหตุนี้เราจึงยังคงคำแนะนำเหมือนกับสัปดาห์ก่อนหน้าคือ ระยะสั้นชะลอการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงออกไปถือเงินสด หรือลงทุนกองทุน Money Market Funds (แนะนำ PCASH ของ บลจ. ฟิลลิป) รอดูสถานการณ์ให้ชัดเจนก่อนตัดสินใจสะสมสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อการลงทุนระยะยาว
โดยจับตาพัฒนาการการแก้ปัญหาหนี้กรีซ และการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ หรือทยอยสะสมเพิ่มเมื่อราคาปรับลดลงแรง โดยเรายังคงเน้นกองทุนที่ลงทุนในตลาดเกิดใหม่ เอเชีย และกองทุนทองคำ (มีนโยบายการป้องกันความเสี่ยง) เป็นหลัก หรืออาจทยอยสะสมเมื่อราคาลงมาที่แนวรับสำคัญเช่น ทยอยสะสมกองทุนทองคำเพิ่มเมื่อราคาลงมาทดสอบแนวรับสำคัญ 1,550 US$/oz. เป็นต้นสำหรับนักลงทุน LTF ช่วงนี้เรายังคงแนะนำให้ Wait and see ต่อไปก่อน และพิจารณาเข้าทยอยสะสมเพิ่มอีกครั้งแถวแนวรับ 850 จุด โดยกองทุนที่เราแนะนำยังคงเป็น KFLTFDIV ของ บลจ. กรุงศรี ตามเดิม แต่สำหรับนักลงทุนที่ได้สับเปลี่ยน LTF ไปยัง Defensive LTF อย่าง KSDLTF(K-Strategic Defensive LTF) ตามที่ได้แนะนำไปก่อนหน้า เรายังแนะนำเหมือนเดิม คือไม่เห็นการเปลี่ยนแนวโน้มของ SETI เป็นขาขึ้นที่ชัดเจนให้ถือกองทุน KSDLTF ต่อไป จะสับเปลี่ยนต่อเมื่อ SETI มีแนวโน้มเป็นขาขึ้นเท่านั้น
นายสานุพงศ์ กล่าวต่อว่า เริ่มจากฝั่งสหรัฐในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตัวเลขเศรษฐกิจดูจะช่วยให้เราได้ผ่อนคลายความกังวลลงบ้าง หลังประกาศออกมาส่วนใหญ่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานล่าสุดที่ปรับตัวลดลง 37,000 ราย จาก 428,000 มาอยู่ที่ 391,000 ราย มากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้มาก ทำให้ตลาดมีความหวังว่าจะเห็นอัตราการว่างงาน และการจ้างงานนอกภาคเกษตรมีพัฒนาการในทางที่ดีขึ้น ลดโอกาสการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยลง นอกจากนี้ทางฝั่งยุโรปมีข่าวดีที่รัฐบาลของประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป โดยเฉพาะเยอรมันสนับสนุนการเพิ่มขนาดกองทุนEFSF (European Financial Stability Facility)
ทั้งนี้เรายังคงเห็นกระแสเงินทุนไหลออกจากตลาดเอเชียแม้ว่าสถานการณ์เงินเฟ้อในจีนเริ่มชะลอตัวลง ตัวเลข PMI ภาคการผลิต และภาคบริการของจีน ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่นักลงทุนขายหุ้นจีนก่อนช่วงหยุดยาววันชาติจีน ในสัปดาห์นี้ทั้งสัปดาห์ ขณะเดียวกันตลาดหุ้นไทยยังคงถูกขายต่อไปแม้ว่าต่างชาติจะชะลอการขายลง SETI ปรับลดลงต่อ -4.38% WoW อยู่ที่ 913.21 จุดโดยรวมแล้วตลาดหุ้นเอเชียยังคงมีแนวโน้มเป็นขาลงต่อไป ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงในยุโรปและสหรัฐยังกระตุ้นให้นักลงทุนหันเข้าหาดอลล่าร์สหรัฐในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
ส่วนดอลล่าร์สหรัฐยังคงแข็งค่าขึ้นเป็นปัจจัยกดดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่อไป แม้ว่าความเสี่ยงจากปัญหาหนี้ยุโรปอาจส่งผลดีกับทองคำในระยะถัดไป แต่นักลงทุนยังคงขายทองคำออกมาอย่างต่อเนื่อง กองทุน SPDR Gold Trust (กองทุน ETF ทองคำอันดับ1) สัปดาห์ที่แล้วลดการถือครองทองคำลงจากสัปดาห์ก่อนราว 20 ตัน จากสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่ราคาน้ำมันเองยังคงถูกกดดันจากภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และปัญหาหนี้ยุโรป ราคาน้ำมันปรับลดลงเล็กน้อย