xs
xsm
sm
md
lg

KTAMเชื่อหุ้นไทยมีลุ้นฟื้นตัว จับจังหวะส่งทาร์เก็ตฟันด็ดักเก็บของถูก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บลจ.กรุงไทย มั่นใจหุ้นไทยยังไปต่อคาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐบาลและผลดำเนิงานบริษัทจดทะเบียนยังหนุน แม้ระยะสั้นดัชนีรูดลงแรงจากปัจจัยเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะปัญหาหนี้ในยุโรป พร้อมส่งกองทุน"กรุงไทย 8% ทริกเกอร์ ฟันด์ 4" ดักทำกำไร 8% ด้านบลจ. ทหารไทย ชี้ จับจังหวะช่วงลงทุนในระยะยาว และทยอยซื้อ LTF

นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีการปรับตัวลดลง จาก 1,144.11 จุด ในวันที่ 1 สิงหาคม 2554 มาอยู่ที่ 916.81 จุด เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (30 ก.ย.54 ) หรือลดลงประมาณ 19.86% ซึ่งนับว่าเป็นจังหวะที่ดี สำหรับการลงทุนในตราสารทุน เพราะเป็นการเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทน บริษัทจึงเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทย8%ทริกเกอร์ ฟันด์ 4 ( KT-TRIGGER4 ) ระหว่างวันที่ 4 -11 ตุลาคม 2554 มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท เป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในตราสารทุน ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน ตราสารหนี้ เงินฝาก หรือทรัพย์สินอื่น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต.กำหนด หรือให้ความเห็นชอบให้ลงทุนได้ โดยผู้จัดการกองทุนสามารถปรับสัดส่วนการลงทุนได้ ในสัดส่วนตั้งแต่ร้อยละ0ถึงร้อยละ100 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน เพื่อให้เหมาะสมกับสภาวะการณ์ในแต่ละช่วงเวลา

โดยกองทุนนี้ ไม่กำหนดอายุโครงการ แต่หากกองทุนมีมูลค่าหน่วยลงทุนตั้งแต่ 10.8000 บาท ขึ้นไป เป็นเวลา 3 วันทำการติดต่อกัน หรือเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 108 ของมูลค่าที่ตราไว้ (10 บาท) และทรัพย์สินของกองทุนเป็นเงินสด หรือเทียบเท่าเงินสด ทั้งหมดในสกุลเงินบาท ณ วันทำการใด บริษัทจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนทุกราย ไปยังกองทุนเปิดกรุงไทยสะสมทรัพย์ หรือกองทุนรวมตลาดเงินอื่นใดที่บริษัทจัดการเปิดให้บริการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนภายใน5 วันทำการ

ทั้งนี้ หากภายใน8 เดือน นับจากวันจดทะเบียนจัดตั้งกองทุน มูลค่าหน่วยลงทุนปรับตัวขึ้นไปไม่ถึง 10.80 บาทตามที่ได้กำหนดไว้ บริษัทจะเปิดให้มีการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนทุกวันจันทร์ของสัปดาห์ตั้งแต่เวลาเปิดทำการถึง 15.30 น. โดยจะเริ่มจากสัปดาห์แรกถัดจากวันครบระยะเวลา 8 เดือน เป็นต้นไป

นอกจากนี้ บริษัทยังเพิ่มอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับลูกค้าที่รับความเสี่ยงได้ในระดับต่ำ ในการเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยประจำ 6 เดือนคุ้มครองเงินต้น 1 ( KTFIX6M1 ) ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 7 ตุลาคม 2554 โดยมีนโยบายลงทุนในพันธบัตรภาครัฐในประเทศทั้ง 100% ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 3.30% ต่อปี

ทางด้านฝ่ายวิจัย บลจ. กรุงไทย รายงานว่า ภาวะการลงทุนใน ตลาดหลักทรัพย์ ดัชนีฯ มีโอกาสฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของเดือน ต.ค. หลังจากมีความชัดเจนในเรื่องการแก้ปัญหาหนี้สาธารณะของกรีซ ขณะเดียวกันน่าจะได้เห็นมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากหลายๆ ประเทศเพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจชะลอตัว นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบวกในประเทศ ได้แก่ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล จะช่วยให้อุปสงค์ในประเทศในปี 2554-55 เพิ่มขึ้นรองรับความเสี่ยงการชะลอตัวของการส่งออก

อีกทั้งในปัจจุบันดัชนีฯอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ย โดยซื้อขายที่ค่า PER ของผลการดำเนินงานปี 2554-55 ที่ประมาณ 10 และ 9 เท่า ขณะเดียวกันอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสำหรับปี 2554-55 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 4.6-5.0% ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงเมื่อเทียบกับอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนประเภทอื่นๆ นอกจากนี้ปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยยังมีความแข็งแกร่งโดยสิ้นปี 2553 บริษัทจดทะเบียนของไทยที่ไม่รวมสถาบันการเงินมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่งเพราะมี D/E Ratio ไม่เกิน 1 เท่า และผลการดำเนินงานยังมีการเติบโตในระดับที่ดีเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ โดยฝ่ายวิจัย คาดว่าบริษัทจดทะเบียนจะมีกำไรสุทธิเติบโต 12% ใน ปี 2555 ทั้งนี้ยังไม่รวมผลจากนโยบายการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลของรัฐบาลที่คาด ว่าจะทำให้ผลการดำเนินงานมีการเติบโตมากกว่าที่คาดการณ์เอาไว้

นายไพศาล ครุฑดำรงชัย รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ทหารไทย จำกัด กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ สินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการของ (AUM) ของ บลจ.ทหารไทย ลดลงบ้างเล็กน้อยจากกองบอนด์เกาหลีที่ทยอยครบอายุไปแต่ก็เป็นไปทั้งอุตสาหกรรม แต่ในช่วงปลายปีน่าจะเพิ่มขึ้นจากลูกค้าที่เข้ามาซื้อกองทุน LTF และ RMF

ทั้งนี้ จากปัญหาวิกฤตหนี้ในต่างประเทศนั้น ส่งผลให้ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาคือเดือนสิงหาคมกับเดือนกันยายน เป็นช่วงที่สินทรัพย์ทั่วโลกมีการขายออกมาเพราะความกลัวในเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ แม้แต่ทองคำก็มีการเทขาย ขณะเดียวกันในเรื่องการแก้ปัญหาของกรีซนั้น แม้จะมีแนวทางการแก้ปัญหาแต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนทำให้เกิดความผันผวน ดังนั้นทองคำตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาที่ปรับตัวขึ้นไปมากจึงมีแรงเทขายออกมามากในช่วงที่ผ่านมานี้

นอกจากนี้ จากการเทขายสินทรัพย์ออกมาส่งผลกระทบต่อกองทุนรวมบ้างแต่ไม่มาก โดยส่งผลให้ เอ็นเอวี ของกองทุนลดลงมาในช่วงสั้น แต่อย่างไรก็ตามหากนักลงทุนที่ลงทุนในระยะสั้นอาจจะรู้สึกกว่าขาดทุนได้ ดังนั้นควรลงทุนในระยะยาวจะดีกว่า โดยเฉพาะราคาหุ้นในขณะนี้ที่สามารถเข้าซื้อกองทุน LTF ได้เพราะราคาไม่แพง

"นักลงทุนส่วนใหญ่ยังลงทุนในเงินฝากและกองทุนประเภทเทอมฟันด์อยู่ แม้ว่าปัญหาหนี้จะส่งผลกระทบต่อการลงทุนบ้างแนะนำว่านักลงทุนควรลงทุนในระยะยาวจะดีกว่า ปัจจัยที่ยังต้องติดตามคือเรื่องปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐฯ และยุโรป โดยเฉพาะยุโรปในเรื่องการให้ความช่วยเหลือว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง และจะส่งผลอย่างไรบ้าง"นายไพศาล กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น