บลจ.กสิกรไทย คาดสิ้นปีราคาทองคำขยับแตะ 2 พันดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังแนวโน้มดอลลาร์อ่อน ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐ-ยุโรปยังไม่คลี่คลาย เตือนระวังความผันผวนระยะสั้นนักลงทุนต้องจับตาใกล้ชิด พร้อมชูกอง"K-GOLD"สุดแจ่มสภาพคล่องเยี่ยม แถมเติบโตมากสุดในอุตสาหกรรม ระบุนักลงทุนไทยเริ่มจับจังหวะการลงทุนทองคำเก่งขึ้น หลังช่วงที่ผ่านมามีการเทขายช่วงราคาทองทำนิวโฮกว่า 1.3 พันล้านบาท
นายพัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มราคาทองคำในช่วงปลายปีนี้น่าจะพุ่งขึ้นไปถึง 2,000 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ เพราะแม้จะมีการคาดการณ์ว่าสหรัฐฯอาจจะมีการออกมาตรการ QE3 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งอาจจะกดดันราคาทองคำให้ปรับตัวลดลงได้ในระยะสั้น แต่มาตรการดังกล่าว ก็จะส่งผลให้ค่าเงินดอลล่าร์ยังคงมีแนวโน้มอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะผลักดันให้ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ความกังวลในปัญหาหนี้ยุโรปและเศรษฐกิจสหรัฐฯ เองก็ยังไม่คลี่คลาย จึงเป็นอีกแรงผลักดันราคาทองคำให้ปรับตัวขึ้นไปได้
“สิ่งที่ผู้ลงทุนควรจับตาอย่างใกล้ชิดหากต้องการเข้าลงทุนในทองคำจังหวะนี้ คือ ความผันผวนในระยะสั้น เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงในวันเดียวกว่า 50-80 ดอลล่าร์ฯต่อออนซ์ ดังนั้น นักลงทุนระยะสั้น จะต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนในช่วงนี้ให้มากขึ้น”นายพัชรกล่าว
อย่างไรก็ตาม นายพัชร กล่าวว่า ปัจจุบันผู้ลงทุนในกองทุนทองคำมีความเข้าใจและสามารถจับจังหวะการเข้าออกในการลงทุนทองคำได้ดีขึ้น ทั้งยังสามารถใช้กองทุนเปิดเค โกลด์เป็นเครื่องมือในการทำกำไรจากการลงทุนในทองคำได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ ล่าสุดจะเห็นได้ว่า จากการที่ราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นไปทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2554 ที่ระดับประมาณ 1,920 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ ส่งผลให้มีผู้ลงทุนส่งคำสั่งขายคืนกองทุน K-GOLD เพื่อทำกำไรใน วันดังกล่าวกว่า 1,300 ล้านบาท ซึ่งการเทขายทำกำไรดังกล่าวไม่เพียงเป็นการขายคืนหน่วยลงทุนในจังหวะที่มูลค่าหน่วยลงทุนของกองทุน K-GOLD ปรับตัวขึ้นเกือบสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งกองทุนมาเท่านั้น หากยังเป็นสัญญาณที่ดียิ่งของอุตสาหกรรมกองทุนรวม
“กองทุน K-GOLD มักเป็นชื่อแรกๆที่นักลงทุนซึ่งเข้าใจในการจับจังหวะทำกำไรจากทองคำในระยะสั้น เนื่องจากกองทุนนี้มีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างต่ำกว่าการลงทุนในทองคำรูปแบบอื่น อีกทั้งการที่เงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท ยิ่งทำให้กองทุน K-GOLD สามารถดึงดูดนักลงทุนทั้งเก่าและใหม่ให้เข้ามาลงทุนเพิ่ม เนื่องจากผู้ลงทุนสามารถทยอยลงทุนเพื่อเฉลี่ยต้นทุนได้แม้ในช่วงที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่องและยังคงมีความผันผวน ขณะที่การลงทุนในทองคำแท่ง ต้องใช้เงินลงทุนขั้นต่ำหลักแสนขึ้นไป จุดเด่นเหล่านี้นับเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลให้ K-GOLDยังคงสถานะเป็นกองทุนทองคำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ที่สามารถรองรับมูลค่าการซื้อขายขนาดใหญ่ต่อวันได้อย่างไม่จำกัด ผู้ถือหน่วยลงทุนจึงไม่ต้องกังวลในเรื่องสภาพคล่อง“นายพัชรกล่าว
นายพัชร กล่าวอีกว่า ในด้านความพร้อมในการชำระค่าขายคืนหน่วยลงทุน นายพัชรเปิดเผยว่า ด้วยขนาดกองทุนที่ค่อนข้างใหญ่ของกองทุนเปิดเค โกลด์ ทำให้กองทุนมีสภาพคล่องมากพอที่จะชำระเงินค่าขายคืนแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนได้ตามกำหนดแม้จะมีการขายคืนเป็นจำนวนมากภายในวันเดียวก็ตาม ส่วนผู้ลงทุนที่ไม่ถนัดในการจับจังหวะการซื้อหรือขายคืนเอง กองทุนก็มีนโยบายพิจารณาการจ่ายเงินปันผลออกมาให้ผู้ถือหน่วยอยู่แล้วในทุกๆ ไตรมาส โดยนับตั้งแต่ต้นปี 2554 ได้จ่ายปันผลไปแล้ว 3 ครั้ง คิดเป็นมูลค่า 0.60 บาท ต่อหน่วย
ทั้งนี้ ณ วันที่ 6 ก.ย. 2554 กองทุน K-GOLD มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 13,173.19 ล้านบาท ส่งผลให้ขนาดกองทุนเติบโตขึ้นสูงที่สุดนับจากก่อตั้งกองทุนเมื่อปี 2551 ซึ่งส่วนหนึ่งสะท้อนแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อกองทุนเปิดเค โกลด์
นายพัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มราคาทองคำในช่วงปลายปีนี้น่าจะพุ่งขึ้นไปถึง 2,000 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ เพราะแม้จะมีการคาดการณ์ว่าสหรัฐฯอาจจะมีการออกมาตรการ QE3 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งอาจจะกดดันราคาทองคำให้ปรับตัวลดลงได้ในระยะสั้น แต่มาตรการดังกล่าว ก็จะส่งผลให้ค่าเงินดอลล่าร์ยังคงมีแนวโน้มอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะผลักดันให้ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ความกังวลในปัญหาหนี้ยุโรปและเศรษฐกิจสหรัฐฯ เองก็ยังไม่คลี่คลาย จึงเป็นอีกแรงผลักดันราคาทองคำให้ปรับตัวขึ้นไปได้
“สิ่งที่ผู้ลงทุนควรจับตาอย่างใกล้ชิดหากต้องการเข้าลงทุนในทองคำจังหวะนี้ คือ ความผันผวนในระยะสั้น เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงในวันเดียวกว่า 50-80 ดอลล่าร์ฯต่อออนซ์ ดังนั้น นักลงทุนระยะสั้น จะต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนในช่วงนี้ให้มากขึ้น”นายพัชรกล่าว
อย่างไรก็ตาม นายพัชร กล่าวว่า ปัจจุบันผู้ลงทุนในกองทุนทองคำมีความเข้าใจและสามารถจับจังหวะการเข้าออกในการลงทุนทองคำได้ดีขึ้น ทั้งยังสามารถใช้กองทุนเปิดเค โกลด์เป็นเครื่องมือในการทำกำไรจากการลงทุนในทองคำได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ ล่าสุดจะเห็นได้ว่า จากการที่ราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นไปทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2554 ที่ระดับประมาณ 1,920 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ ส่งผลให้มีผู้ลงทุนส่งคำสั่งขายคืนกองทุน K-GOLD เพื่อทำกำไรใน วันดังกล่าวกว่า 1,300 ล้านบาท ซึ่งการเทขายทำกำไรดังกล่าวไม่เพียงเป็นการขายคืนหน่วยลงทุนในจังหวะที่มูลค่าหน่วยลงทุนของกองทุน K-GOLD ปรับตัวขึ้นเกือบสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งกองทุนมาเท่านั้น หากยังเป็นสัญญาณที่ดียิ่งของอุตสาหกรรมกองทุนรวม
“กองทุน K-GOLD มักเป็นชื่อแรกๆที่นักลงทุนซึ่งเข้าใจในการจับจังหวะทำกำไรจากทองคำในระยะสั้น เนื่องจากกองทุนนี้มีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างต่ำกว่าการลงทุนในทองคำรูปแบบอื่น อีกทั้งการที่เงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท ยิ่งทำให้กองทุน K-GOLD สามารถดึงดูดนักลงทุนทั้งเก่าและใหม่ให้เข้ามาลงทุนเพิ่ม เนื่องจากผู้ลงทุนสามารถทยอยลงทุนเพื่อเฉลี่ยต้นทุนได้แม้ในช่วงที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่องและยังคงมีความผันผวน ขณะที่การลงทุนในทองคำแท่ง ต้องใช้เงินลงทุนขั้นต่ำหลักแสนขึ้นไป จุดเด่นเหล่านี้นับเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลให้ K-GOLDยังคงสถานะเป็นกองทุนทองคำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ที่สามารถรองรับมูลค่าการซื้อขายขนาดใหญ่ต่อวันได้อย่างไม่จำกัด ผู้ถือหน่วยลงทุนจึงไม่ต้องกังวลในเรื่องสภาพคล่อง“นายพัชรกล่าว
นายพัชร กล่าวอีกว่า ในด้านความพร้อมในการชำระค่าขายคืนหน่วยลงทุน นายพัชรเปิดเผยว่า ด้วยขนาดกองทุนที่ค่อนข้างใหญ่ของกองทุนเปิดเค โกลด์ ทำให้กองทุนมีสภาพคล่องมากพอที่จะชำระเงินค่าขายคืนแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนได้ตามกำหนดแม้จะมีการขายคืนเป็นจำนวนมากภายในวันเดียวก็ตาม ส่วนผู้ลงทุนที่ไม่ถนัดในการจับจังหวะการซื้อหรือขายคืนเอง กองทุนก็มีนโยบายพิจารณาการจ่ายเงินปันผลออกมาให้ผู้ถือหน่วยอยู่แล้วในทุกๆ ไตรมาส โดยนับตั้งแต่ต้นปี 2554 ได้จ่ายปันผลไปแล้ว 3 ครั้ง คิดเป็นมูลค่า 0.60 บาท ต่อหน่วย
ทั้งนี้ ณ วันที่ 6 ก.ย. 2554 กองทุน K-GOLD มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 13,173.19 ล้านบาท ส่งผลให้ขนาดกองทุนเติบโตขึ้นสูงที่สุดนับจากก่อตั้งกองทุนเมื่อปี 2551 ซึ่งส่วนหนึ่งสะท้อนแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อกองทุนเปิดเค โกลด์