บลจ. กสิกรไทยปลื้มกระแสตื่นทอง ดันกอง K-GOLD โตหมื่นล้าน ชูจุดเด่น ต้นทุนต่ำ ตอบสนองผู้ลงทุนได้ พร้อมประเมินราคาทองคำตลาดโลก มีลุ้นปลายปีวิ่งแตะ 2,000 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ หนังวิกฤตสหรัฐ-ยุโรป ยังไม่คลี่คลาย เตือนระวังแรงเทขายระยะสั้น
นายพัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า อานิสงส์จากราคาทองที่มีการปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเดือนเดียวกว่า 300 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ หรือเกือบ 20% ส่งผลให้ ณ วันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา กองทุนเปิดเค โกลด์ (K-GOLD) มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 9,811 ล้านบาท โดยเป็นการปรับเพิ่มขึ้นถึง 3,412 ล้านบาทจากต้นเดือนสิงหาคม ซึ่งทำให้ K-GOLD เป็นกองทุนทองคำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่เพิ่มขึ้นนั้น มีเม็ดเงินใหม่ที่เข้ามาลงทุนใน K-GOLD ในช่วงเวลาดังกล่าวกว่า 2,000 ล้านบาท และสามารถดึงนักลงทุนใหม่เพิ่มเข้ามาได้ถึง เกือบ 3,000 คน ภายในระยะเวลาไม่ถึงเดือน
ทั้งนี้ จากจุดเด่นของกองทุน K-GOLD ที่มีต้นทุนต่ำ ซึ่งตอบสนองต่อลักษณะการลงทุนของผู้ลงทุนส่วนใหญ่กว่า 60% ที่มีการซื้อและขายค่อนข้างบ่อยโดยเฉลี่ยเดือนละ 1 - 2 ครั้ง ตามสภาพราคาทองที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้ลงทุนได้รับผลประโยชน์จากราคาทองที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากหากมีการซื้อขายบ่อยๆ การลงทุนใน K-GOLD ก็จะมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนรวมที่ค่อนข้างต่ำกว่าการลงทุนในทองคำรูปแบบอื่นๆ
นอกจากนี้ จากราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้น หากต้องการลงทุนในทองคำแท่งขั้นต่ำ ต้องใช้เงินลงทุนกว่า 130,000 บาท ในขณะที่กองทุน K-GOLD สามารถเริ่มลงทุนได้เพียงแค่ 5,000 บาทเท่านั้น จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนในช่วงขาขึ้นของทองคำอย่างในภาวะปัจจุบัน ทำให้กองทุน K-GOLD สามารถดึงดูดนักลงทุนทั้งเก่าและใหม่ให้เข้ามาลงทุนเพิ่มได้อย่างต่อเนื่อง
นายพัชรกล่าวว่า บลจ.กสิกรไทยมีมุมมองต่อราคาทองว่า น่าจะพุ่งขึ้นไปถึง 2,000 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ได้ในช่วงปลายปีนี้ ด้วยปัจจัยสนับสนุนทั้งจากความกังวลในปัญหาหนี้ในยุโรปที่ยังไม่คลี่คลายยังคงเข้ามากดดันตลาดอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ตัวเลขการซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2554 ก็ปรับขึ้นกว่า 100% จาก 6 เดือนหลังของปี 2553 ยิ่งเพิ่มความเชื่อมั่นต่อราคาทองคำให้กับนักลงทุนทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้ลงทุนควรจับตาอย่างใกล้ชิดหากต้องการเข้าลงทุนในทองคำจังหวะนี้ คือ ความผันผวนในระยะสั้น เพราะราคาทองคำได้ปรับตัวสูงที่สุดในรอบ 30 ปี นับตั้งแต่ปี 2523 ทำให้เกิดความกังวลกันว่า อาจจะเกิดฟองสบู่ทองคำเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในปี 2523 ที่ราคาทองปรับตัวลดลงในเดือนเดียวกว่า 20% หลังจากปรับขึ้นอย่างรวดเร็วได้ อย่างไรก็ดี บลจ.กสิกรไทยมองว่า แม้จะมีโอกาสที่ราคาทองคำจะปรับตัวลดลงได้จากแรงขายทำกำไรในระยะสั้น ซึ่งนักลงทุนระยะสั้นจึงต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนในช่วงนี้ให้มากขึ้น แต่เนื่องจาก ปัญหาด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และยุโรปที่ยังคงเปราะบาง จึงทำให้ทองคำยังคงเป็นที่ต้องการในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยอยู่
นายพัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า อานิสงส์จากราคาทองที่มีการปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเดือนเดียวกว่า 300 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ หรือเกือบ 20% ส่งผลให้ ณ วันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา กองทุนเปิดเค โกลด์ (K-GOLD) มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 9,811 ล้านบาท โดยเป็นการปรับเพิ่มขึ้นถึง 3,412 ล้านบาทจากต้นเดือนสิงหาคม ซึ่งทำให้ K-GOLD เป็นกองทุนทองคำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่เพิ่มขึ้นนั้น มีเม็ดเงินใหม่ที่เข้ามาลงทุนใน K-GOLD ในช่วงเวลาดังกล่าวกว่า 2,000 ล้านบาท และสามารถดึงนักลงทุนใหม่เพิ่มเข้ามาได้ถึง เกือบ 3,000 คน ภายในระยะเวลาไม่ถึงเดือน
ทั้งนี้ จากจุดเด่นของกองทุน K-GOLD ที่มีต้นทุนต่ำ ซึ่งตอบสนองต่อลักษณะการลงทุนของผู้ลงทุนส่วนใหญ่กว่า 60% ที่มีการซื้อและขายค่อนข้างบ่อยโดยเฉลี่ยเดือนละ 1 - 2 ครั้ง ตามสภาพราคาทองที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้ลงทุนได้รับผลประโยชน์จากราคาทองที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากหากมีการซื้อขายบ่อยๆ การลงทุนใน K-GOLD ก็จะมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนรวมที่ค่อนข้างต่ำกว่าการลงทุนในทองคำรูปแบบอื่นๆ
นอกจากนี้ จากราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้น หากต้องการลงทุนในทองคำแท่งขั้นต่ำ ต้องใช้เงินลงทุนกว่า 130,000 บาท ในขณะที่กองทุน K-GOLD สามารถเริ่มลงทุนได้เพียงแค่ 5,000 บาทเท่านั้น จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนในช่วงขาขึ้นของทองคำอย่างในภาวะปัจจุบัน ทำให้กองทุน K-GOLD สามารถดึงดูดนักลงทุนทั้งเก่าและใหม่ให้เข้ามาลงทุนเพิ่มได้อย่างต่อเนื่อง
นายพัชรกล่าวว่า บลจ.กสิกรไทยมีมุมมองต่อราคาทองว่า น่าจะพุ่งขึ้นไปถึง 2,000 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ได้ในช่วงปลายปีนี้ ด้วยปัจจัยสนับสนุนทั้งจากความกังวลในปัญหาหนี้ในยุโรปที่ยังไม่คลี่คลายยังคงเข้ามากดดันตลาดอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ตัวเลขการซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2554 ก็ปรับขึ้นกว่า 100% จาก 6 เดือนหลังของปี 2553 ยิ่งเพิ่มความเชื่อมั่นต่อราคาทองคำให้กับนักลงทุนทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้ลงทุนควรจับตาอย่างใกล้ชิดหากต้องการเข้าลงทุนในทองคำจังหวะนี้ คือ ความผันผวนในระยะสั้น เพราะราคาทองคำได้ปรับตัวสูงที่สุดในรอบ 30 ปี นับตั้งแต่ปี 2523 ทำให้เกิดความกังวลกันว่า อาจจะเกิดฟองสบู่ทองคำเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในปี 2523 ที่ราคาทองปรับตัวลดลงในเดือนเดียวกว่า 20% หลังจากปรับขึ้นอย่างรวดเร็วได้ อย่างไรก็ดี บลจ.กสิกรไทยมองว่า แม้จะมีโอกาสที่ราคาทองคำจะปรับตัวลดลงได้จากแรงขายทำกำไรในระยะสั้น ซึ่งนักลงทุนระยะสั้นจึงต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนในช่วงนี้ให้มากขึ้น แต่เนื่องจาก ปัญหาด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และยุโรปที่ยังคงเปราะบาง จึงทำให้ทองคำยังคงเป็นที่ต้องการในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยอยู่
