ASTVผู้จัดการรายวัน-นักวิเคราะห์กองทุนรวมประเมิน ระยะสั้นค่าเงินและสินทรัพย์เสี่ยงยังผันผวน ขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกยังไม่สดใสหลังไม่มีปัจจัยบวกหนุน แนะเก็บทองคำเข้าพอร์ตหลังปัญหาหนี้เสียของกรีชหนุนราคาทองคำ
นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความกังวลต่อปัญหาหนี้ยุโรปทำให้ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐปรับตัวแข็งค่าขึ้นแรงในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาส่งผลต่อสินทรัพย์เสี่ยงให้ปรับตัวลดลง แต่สัปดาห์ล่าสุดดอลล่าร์กลับมาปรับตัวอ่อนค่าลงอีกครั้ง ทำให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยงรีบาวด์ขึ้น ยกเว้นทองคำที่ได้ปัญหาหนี้กรีซหนุนในช่วงที่ผ่านมาในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ขณะที่การอ่อนค่าลงของดอลล่าร์ยังกลับมาหนุนราคาทองคำปรับพุ่งขึ้นทำ New high ในรอบ 2 สัปดาห์ปิดที่ 1,536.39 US$/oz. ทำให้แนวโน้มระยะสั้นปรับตัวขึ้นแบบ sideway up มีลุ้นกลับขึ้นทดสอบจุดสูงสุดก่อนหน้าที่ 1,575 US$/oz.
อย่างไรก็ตาม เรายังคงมองปัจจัยระยะสั้นส่งผลให้เกิดความผันผวนค่อนข้างมากในช่วงนี้ แนะนำให้ทยอยสะสมเมื่อราคาทองคำอ่อนตัว ระยะสั้นแนวรับ 1,480 US$/oz. แนวต้าน 1,540-1575 US$/oz. กองทุนแนะนำยังคงเป็นกองทุนทองคำที่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนอย่างK-GOLD ของ บลจ.กสิกรไทย (มีนโยบายจ่ายปันผล) และ ASP-GOLD ของบลจ.Asset Plus (ไม่มีการจ่ายปันผล)
สำหรับน้ำมัน เรายังคงแนะนำหลีกเลี่ยงกองทุนน้ำมันตามเดิม เนื่องจากกองทุนหลัก PowerShares DB Oil Fund (DBO) ใกล้จะเริ่มทำการ Rollover สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมัน อาจทำให้ผลตอบแทนที่ได้ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ ราคาน้ำมันคาดว่าแกว่งตัวกรอบ 96-106 US$/bbl สำหรับตลาดหุ้น ระยะนี้ตลาดมีความอ่อนไหวกับปัจจัยระยะสั้นทั้งเศรษฐกิจสหรัฐ, จีน และปัญหาหนี้ยุโรป ทำให้โอกาสผันผวนมีค่อนข้างมากในหลายๆ ตลาด ดังนั้น เราแนะนำให้รอจังหวะสะสมเมื่อราคาอ่อนตัวสำหรับการลงทุนระยะยาว
โดยยังคงเน้นไปยังตลาดที่มีปัจจัยแข็งแกร่งกว่าในระยะยาวอย่างกองทุนตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) มากกว่าทางกลุ่ม G3 (สหรัฐ, ยุโรป, ญี่ปุ่น) และเรายังคงแนะนำกองทุนหุ้นจีนต่อ เพราะแม้เศรษฐกิจมีเเนวโน้มจะชะลอตัวจากการปรับสมดุลเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน เเต่เชื่อมั่นว่าเมื่อการปรับสมดุลเสร็จสิ้น เศรษฐกิจจีนจะมีการเติบโตที่มีความยั่งยืนมากขึ้น จึงเหมาะกับการลงทุนในระยะยาว โดยกองทุนแนะนำยังคงเป็น ABCG ของ บลจ. อเบอร์ดีน
นอกจากนี้ กองทุนตลาดเกิดใหม่ที่เราเคยแนะนำก็ยังคงแนะนำอย่างต่อเนื่องได้แก่ ABGEM และ ABAPAC ซึ่งเรายังคงเชื่อมั่นในการเลือกบริษัทและประเทศที่เป็นเป้าหมายการลงทุน ส่วนกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศที่ยังคงแนะนำ TMB Global Bond Fund ของ บลจ.ทหารไทย ซึ่งกองทุนหลัก (Master Fund) เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศพัฒนาแล้วบางประเทศที่มีเศรษฐกิจแข็งแกร่งเเต่ระยะสั้นมีโอกาสเห็นความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ เราแนะนำให้สะสมเมื่อ NAV กองทุนปรับตัวลง
ส่วนการลงทุนใน LTF ในรอบปี 2554 นี้ เรายังแนะนำ Wait and See เพราะมองว่าตลาดหุ้นไทยยังคงมีโอกาสผันผวนตลอดทั้งปี เเละสำหรับนักลงทุนมีกอง LTF เเละต้องการบริหารพอร์ตเพื่อลดความผันผวนของตลาด เรายังคงแนะนำให้สับเปลี่ยนเข้ากองทุน LTF ความผันผวนต่ำอย่างเช่นกองทุน 1SMART-LTF ของบลจ.วรรณ และกองทุน KSDLTF ของบลจ.กสิกรไทย
นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความกังวลต่อปัญหาหนี้ยุโรปทำให้ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐปรับตัวแข็งค่าขึ้นแรงในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาส่งผลต่อสินทรัพย์เสี่ยงให้ปรับตัวลดลง แต่สัปดาห์ล่าสุดดอลล่าร์กลับมาปรับตัวอ่อนค่าลงอีกครั้ง ทำให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยงรีบาวด์ขึ้น ยกเว้นทองคำที่ได้ปัญหาหนี้กรีซหนุนในช่วงที่ผ่านมาในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ขณะที่การอ่อนค่าลงของดอลล่าร์ยังกลับมาหนุนราคาทองคำปรับพุ่งขึ้นทำ New high ในรอบ 2 สัปดาห์ปิดที่ 1,536.39 US$/oz. ทำให้แนวโน้มระยะสั้นปรับตัวขึ้นแบบ sideway up มีลุ้นกลับขึ้นทดสอบจุดสูงสุดก่อนหน้าที่ 1,575 US$/oz.
อย่างไรก็ตาม เรายังคงมองปัจจัยระยะสั้นส่งผลให้เกิดความผันผวนค่อนข้างมากในช่วงนี้ แนะนำให้ทยอยสะสมเมื่อราคาทองคำอ่อนตัว ระยะสั้นแนวรับ 1,480 US$/oz. แนวต้าน 1,540-1575 US$/oz. กองทุนแนะนำยังคงเป็นกองทุนทองคำที่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนอย่างK-GOLD ของ บลจ.กสิกรไทย (มีนโยบายจ่ายปันผล) และ ASP-GOLD ของบลจ.Asset Plus (ไม่มีการจ่ายปันผล)
สำหรับน้ำมัน เรายังคงแนะนำหลีกเลี่ยงกองทุนน้ำมันตามเดิม เนื่องจากกองทุนหลัก PowerShares DB Oil Fund (DBO) ใกล้จะเริ่มทำการ Rollover สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมัน อาจทำให้ผลตอบแทนที่ได้ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ ราคาน้ำมันคาดว่าแกว่งตัวกรอบ 96-106 US$/bbl สำหรับตลาดหุ้น ระยะนี้ตลาดมีความอ่อนไหวกับปัจจัยระยะสั้นทั้งเศรษฐกิจสหรัฐ, จีน และปัญหาหนี้ยุโรป ทำให้โอกาสผันผวนมีค่อนข้างมากในหลายๆ ตลาด ดังนั้น เราแนะนำให้รอจังหวะสะสมเมื่อราคาอ่อนตัวสำหรับการลงทุนระยะยาว
โดยยังคงเน้นไปยังตลาดที่มีปัจจัยแข็งแกร่งกว่าในระยะยาวอย่างกองทุนตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) มากกว่าทางกลุ่ม G3 (สหรัฐ, ยุโรป, ญี่ปุ่น) และเรายังคงแนะนำกองทุนหุ้นจีนต่อ เพราะแม้เศรษฐกิจมีเเนวโน้มจะชะลอตัวจากการปรับสมดุลเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน เเต่เชื่อมั่นว่าเมื่อการปรับสมดุลเสร็จสิ้น เศรษฐกิจจีนจะมีการเติบโตที่มีความยั่งยืนมากขึ้น จึงเหมาะกับการลงทุนในระยะยาว โดยกองทุนแนะนำยังคงเป็น ABCG ของ บลจ. อเบอร์ดีน
นอกจากนี้ กองทุนตลาดเกิดใหม่ที่เราเคยแนะนำก็ยังคงแนะนำอย่างต่อเนื่องได้แก่ ABGEM และ ABAPAC ซึ่งเรายังคงเชื่อมั่นในการเลือกบริษัทและประเทศที่เป็นเป้าหมายการลงทุน ส่วนกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศที่ยังคงแนะนำ TMB Global Bond Fund ของ บลจ.ทหารไทย ซึ่งกองทุนหลัก (Master Fund) เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศพัฒนาแล้วบางประเทศที่มีเศรษฐกิจแข็งแกร่งเเต่ระยะสั้นมีโอกาสเห็นความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ เราแนะนำให้สะสมเมื่อ NAV กองทุนปรับตัวลง
ส่วนการลงทุนใน LTF ในรอบปี 2554 นี้ เรายังแนะนำ Wait and See เพราะมองว่าตลาดหุ้นไทยยังคงมีโอกาสผันผวนตลอดทั้งปี เเละสำหรับนักลงทุนมีกอง LTF เเละต้องการบริหารพอร์ตเพื่อลดความผันผวนของตลาด เรายังคงแนะนำให้สับเปลี่ยนเข้ากองทุน LTF ความผันผวนต่ำอย่างเช่นกองทุน 1SMART-LTF ของบลจ.วรรณ และกองทุน KSDLTF ของบลจ.กสิกรไทย