ASTVผู้จัดการรายวัน-บลจ.กรุงไทย พัฒนารูปแบบการลงทุนในกองทุนรวมอีกครั้ง ส่งกองทุน "เคแทม เวิลด์ พร็อพเพอร์ตี้ ฟันด์"ลุยกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาฯ หรือ REITs รวมถึงหุ้นของบริษัทอสังหาฯทั่วโลกซึ่งบริหารโดย Henderson Global Investors มั่นใจสภาพคล่องกองหลักและแคปปิตอลเกนมีสูง คาดเงินปันผลสวย เปิดขายไอพีโอระหว่างวันที่ 12 -21 กันยายน 2554
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บลจ.กรุงไทยมีการเปิดขายกองทุนรวมรายอุตสาหกรรม หรือ sector fund ที่ร่วมมือกับธนาคารซิตี้แบงก์มาแล้วหลายกองทุน และยังเป็นบลจ.ที่มีกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ตลาดหุ้นไทยที่หลากหลายอีกด้วย ซึ่งบลจ.มี AUM ในส่วนของกองทุนประเภทดังกล่าว เป็นหลักแสนล้าน โดยบลจ.กรุงไทยเตรียมเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ พร็อพเพอร์ตี้ ฟันด์ (KT-PROPERTY) ระหว่างวันที่ 12 -21 กันยายน 2554 ทั้งนี้ การเสนอขายกองทุนนี้ ถือเป็นการต่อยอดความสำเร็จที่ผ่านมาของกองทุนรวมรายอุตสาหกรรมที่มีบริษัทบริหารจัดการกองทุนชั้นนำและโดดเด่นของโลกเป็นผู้บริหาร เช่น กองทุนหุ้นพลังงาน กองทุนหุ้นเกษตร และกองทุนหุ้นเหมืองโลหะ เป็นต้น
นางสาวดารบุษป์ ประภาพจน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาด 2 บลจ.กรุงไทย กล่าวว่า ความน่าสนใจของการลงทุนในกองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ พร็อพเพอร์ตี้ ฟันด์ คือเป็นการลงทุนที่เน้นลงทุนในกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือ REITs ซึ่งมีลักษณะคล้ายกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ซึ่งนอกจากจะเป็นช่องทางหนึ่งที่ให้ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนในรูปเงินปันผลจากรายได้ค่าเช่า และมูลค่าของสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นจากอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในทำเลชั้นนำทั่วโลกแล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อ และเป็นสินทรัพย์ที่เหมาะแก่การกระจายความเสี่ยงเพิ่มเติมจากการลงทุนในหุ้นหรือตราสารหนี้แต่เพียงอย่างเดียว กองทุน KT-PROPERTY ถือเป็นทางเลือกที่ประหยัดทั้งเวลาและต้นทุนเมื่อเทียบกับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โดยตรง และช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างสะดวก คล่องตัว โดยใช้เงินลงทุนที่น้อยกว่า
สำหรับกองทุนหลักที่กองทุน KT-PROPERTY เข้าไปลงทุน คือ กองทุนรวมหลัก Henderson Global Property Equities Fund บริหารโดย Henderson Global Investors บริษัทจัดการลงทุนที่มีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการสูงถึง 556,396 ล้านบาท (ข้อมูล ณ 31 ธันวาคม 2553) โดยกองทุนรวมหลักมีนโยบายที่จะสร้างผลตอบแทนระยะยาวจากการลงทุนในหุ้นของบริษัท หรือกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (หรือเทียบเท่า) ที่จดทะเบียน หรือมีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ที่มีการกำกับดูแล โดยมีรายได้หลักจากการเป็นเจ้าของ บริหารจัดการ และ/หรือพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก โดยทีมงานบริหารที่มีประสบการณ์เป็นที่ยอมรับอย่างสูงในระดับโลก
นอกจากนี้ ผู้จัดการกองทุนยังอาจพิจารณาลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ที่มีตัวแปรเป็นอัตราแลกเปลี่ยนเงิน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนในสกุลเงินบาท รวมถึงมีนโยบายการจ่ายปันผลไม่เกินปีละ 4 ครั้งอีกด้วย
ในส่วนของพอร์ตการลงทุนของกองทุนหลักที่มีมูลค่าสูงสุด 3 อันดับแรก คือ บริษัท Sun Hung Kai Properties ซึ่งถือว่าเป็นที่มีพื้นที่ให้เช่าประมาณ 45 ล้านตารางเมตรในฮ่องกง และยังเป็นเจ้าของตึกที่สูงที่สุดในฮ่องกง คือตึก ICC ส่วนอันดับที่ 2 คือ SIMON เป็น REITs ที่ใหญ่สุดในอเมริกา และบริษัท Land Securities เป็นต้น
**กองทรัสต์ทั่วโลกฟื้นตัวตามวัฏจักร**
นางสาวดารบุษ์ป กล่าววต่อว่า แนวโน้มกองทรัสต์หรือ หุ้นอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐฯนั้น GDP และอัตราการจ้างงานเติบโตค่อนข้างช้า ราคาตลาดของกองทุนอสังหาริมทรัพย์ (REITs) มีราคาต่ำกว่าราคา NAV ประมาณ 5-10% มีอัตราค่าเช่าเฉลี่ยค่อนข้างคงที่ มีความโดดเด่นอยู่ในกลุ่มอพาร์ตเมนต์ แต่กำไรสุทธิจากการดำเนินงาน ก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยอัตราการเติบโตของเงินปันผลคาดว่าจะสูงขึ้นประมาณ 10% ต่อปี ขณะที่หนี้ของสหรัฐฯที่มีทั้งสิ้นกว่า 3.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯนับเป็นโอกาสที่ดีต่อหุ้นอสังหาริมทรัพย์
ขณะที่แนวโน้มกองทรัสต์หรือ หุ้นอสังหาริมทรัพย์ในเอเชีย แปซิฟิก ได้แก่ จีน ฮ่องกง และสิงคโปร์ มีมาตรการลดความร้อนแรงของตลาดอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย อัตราการขยายตัวของการเช่าสำนักงานชะลอตัวลง แต่ยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภคและการท่องเที่ยวยังแข็งแกร่ง ส่วนตลาดที่อยู่อาศัยในออสเตรเลียมีความร้อนแรงเกินไป ในขณะที่อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ค่อนข้างมีเสถียรภาพ แต่มีต้นทุนสูง ส่วนญี่ปุ่นอยู่ระหว่างการฟื้นตัวภายหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว ปัจจัยบวกต่อกลุ่มที่อยู่อาศัย
ส่วนแนวโน้มกองทรัสต์หรือ หุ้นอสังหาริมทรัพย์ในยุโรป มีอัตราการเติบโตของ GDP คาดว่าจะชะลอตัวลงแต่ยังคงเป็นบวกอยู่ มูลค่าการลงทุนได้ปรับตัวสูงขึ้นจากระดับต่ำ ราคาตลาดของหุ้นซื้อขายต่ำกว่า NAV ประมาณ 10% โดยความต้องการพื้นที่เช่ายังคงอยู่ในระดับต่ำ เว้นแต่อาคารสำนักงานกลางกรุงลอนดอนและสวีเดนรวมถึงพื้นที่ค้าปลีกสำคัญ ส่วนการลงทุนของกองทุนหลักเน้นลงทุนในสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และสวีเดน
นางสาวดารบุษ์ป กล่าวอีกว่า แนวโน้มกองทรัสต์หรือ หุ้นอสังหาริมทรัพย์มทั่วโลก พื้นฐานของอสังหาริมทรัพย์ยังคงอยู่ในช่วงต้นของการฟื้นตัวตามวัฏจักร การระดมทุนใหม่กว่า 75,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯจนถึงปัจจุบันช่วยค้ำยันหุ้นในกลุ่มอสังหาฯไว้ได้ โดยผู้ปล่อยกู้ที่มีเงินทุนในระดับต่ำและมีภาระหนี้ในระดับสูงจะไม่บังคับให้ผู้กู้ขายทรัพย์สินเพื่อชดใช้หนี้ (เพื่อหลีกเลี่ยงผลขาดทุน) แต่เลือกที่จะเจราจากับผู้กู้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้แทน มีอัตราการจ่ายเงินปันผลเพิ่ม มูลค่าที่แท้จริงของหลักทรัพย์ดูมีความเหมาะสม และอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่ง ดังนั้นจังยังมีความพยายามในการหาช่องทางการลงทุนให้อัตราผลตอบแทนสูงขึ้นต่อไปด้วย
"เวลานักลงทุนเลือกลงทุน REITs ก็มีความคาดหวังเรื่องของเงินปันผล ซึ่งในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวน เรามองว่าช่วงเวลานี้เหมาะกับการซื้อ KT-PROPERTY ซึ่งได้ อัตราเงินปันผลสูง ซึ่งซื้อในราคาถูก ได้ปันผลประมาณ 3.5-4% ส่วน Fund manager ลดน้ำหนักการลงทุนในสิงคโปร์ เนื่องจากกังวลเรื่องราคา อารมาณ์นักลงทุนที่ผันผวนสูง หาก REITs สิงคโปร์ดีขึ้น ก็อาจจะกลับเข้าไปลงทุนต่อ ทั้งนี้การลงทุนในกองทุนอสังหาฯไทย อาจจะได้รับปันผลมากกว่า การลงทุนใน KT-PROPERTY แต่ส่วนที่ได้คือสภาพคล่องสูงว่า การเปลี่ยนมือและมีโอกาสได้รับแคปปิตอลเกนสูงกว่าเมื่อนำปันผลมาสะสมก็น่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า "นางสาวดารบุษ์ปกล่าว
นายเขตขันธ์ ณีศะนันท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายบุคคลธนกิจ ธนาคารซิตี้แบงก์ ในฐานะตัวแทนสนับสนุนการขาย กล่าวว่า ตลาดหุ้นโลกได้ปรับตัวลงประมาณร้อยละ 20 จากระดับสูงสุดของปีนี้ เนื่องจากความ กังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนและกำไรต่อหุ้นของหุ้นโลกที่ลดลงในปีหน้า ใน อดีตที่ผ่านมา หลังจากที่ตลาดหุ้นโลกปรับตัวลงร้อยละ 20 ทิศทางของตลาดหุ้นเกิดได้ 2 รูปแบบ ทางแรกคือ ตลาดปรับตัวลงต่อเนื่อง โดยหุ้นจะปรับตัวลงต่อโดยเฉลี่ยอีกร้อยละ 20 หรือทางที่สองคือตลาดกลับมาปรับ ตัวขึ้น โดยหุ้นจะปรับตัวขึ้นประมาณร้อยละ 20 ในอีก 12 เดือนข้างหน้า
โดยนักวิเคราะห์ซิตี้เชื่อว่าตลาดหุ้นน่าจะกลับมาปรับตัวขึ้น ถึงแม้ว่าความเสี่ยงด้านกำไรของบริษัททั่วโลก เพิ่มสูงขึ้น เรายังคงเชื่อว่าโอกาสที่ผลกำไรจะทรุดลงมากยังน้อยอยู่ การที่ตลาดจะปรับตัวลงต่อเนื่องนั้น ส่วนมากจะเกิดเมื่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนซบเซา โดยกำไรต่อหุ้นตกลงมากกว่าร้อยละ 10 ส่วนตัวเลข เศรษฐกิจโลกที่จะปรับลงนั้นสะท้อนถึงการเติบโตที่ลดลง ไม่ใช่เศรษฐกิจตกต่ำ เราเห็นว่าการที่เศรษฐกิจเติบโต ลดลงนั้น ไม่ได้ทำให้ผลกำไรหมดไป หุ้นโลกมีระดับราคาที่น่าสนใจจากข่าวร้ายต่างๆ ที่ได้สะท้อนไปแล้ว และเราเชื่อว่าหุ้นมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น
สำหรับการลงทุนในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการมีส่วนร่วมกับการเติบโตในระยะยาว เพิ่มไปจากการลงทุนในตลาดหุ้นโดยรวม อย่างไรก็ดี การกระจายความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญ นักลงทุนจะต้องมีวินัยในการสร้างพอร์ตที่มีการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน และปรับให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายและสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป การลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน (Dollar Cost Averaging) ก็อาจเป็นอีกวิธีในการลงทุน
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บลจ.กรุงไทยมีการเปิดขายกองทุนรวมรายอุตสาหกรรม หรือ sector fund ที่ร่วมมือกับธนาคารซิตี้แบงก์มาแล้วหลายกองทุน และยังเป็นบลจ.ที่มีกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ตลาดหุ้นไทยที่หลากหลายอีกด้วย ซึ่งบลจ.มี AUM ในส่วนของกองทุนประเภทดังกล่าว เป็นหลักแสนล้าน โดยบลจ.กรุงไทยเตรียมเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ พร็อพเพอร์ตี้ ฟันด์ (KT-PROPERTY) ระหว่างวันที่ 12 -21 กันยายน 2554 ทั้งนี้ การเสนอขายกองทุนนี้ ถือเป็นการต่อยอดความสำเร็จที่ผ่านมาของกองทุนรวมรายอุตสาหกรรมที่มีบริษัทบริหารจัดการกองทุนชั้นนำและโดดเด่นของโลกเป็นผู้บริหาร เช่น กองทุนหุ้นพลังงาน กองทุนหุ้นเกษตร และกองทุนหุ้นเหมืองโลหะ เป็นต้น
นางสาวดารบุษป์ ประภาพจน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาด 2 บลจ.กรุงไทย กล่าวว่า ความน่าสนใจของการลงทุนในกองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ พร็อพเพอร์ตี้ ฟันด์ คือเป็นการลงทุนที่เน้นลงทุนในกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือ REITs ซึ่งมีลักษณะคล้ายกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ซึ่งนอกจากจะเป็นช่องทางหนึ่งที่ให้ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนในรูปเงินปันผลจากรายได้ค่าเช่า และมูลค่าของสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นจากอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในทำเลชั้นนำทั่วโลกแล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อ และเป็นสินทรัพย์ที่เหมาะแก่การกระจายความเสี่ยงเพิ่มเติมจากการลงทุนในหุ้นหรือตราสารหนี้แต่เพียงอย่างเดียว กองทุน KT-PROPERTY ถือเป็นทางเลือกที่ประหยัดทั้งเวลาและต้นทุนเมื่อเทียบกับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โดยตรง และช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างสะดวก คล่องตัว โดยใช้เงินลงทุนที่น้อยกว่า
สำหรับกองทุนหลักที่กองทุน KT-PROPERTY เข้าไปลงทุน คือ กองทุนรวมหลัก Henderson Global Property Equities Fund บริหารโดย Henderson Global Investors บริษัทจัดการลงทุนที่มีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการสูงถึง 556,396 ล้านบาท (ข้อมูล ณ 31 ธันวาคม 2553) โดยกองทุนรวมหลักมีนโยบายที่จะสร้างผลตอบแทนระยะยาวจากการลงทุนในหุ้นของบริษัท หรือกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (หรือเทียบเท่า) ที่จดทะเบียน หรือมีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ที่มีการกำกับดูแล โดยมีรายได้หลักจากการเป็นเจ้าของ บริหารจัดการ และ/หรือพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก โดยทีมงานบริหารที่มีประสบการณ์เป็นที่ยอมรับอย่างสูงในระดับโลก
นอกจากนี้ ผู้จัดการกองทุนยังอาจพิจารณาลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ที่มีตัวแปรเป็นอัตราแลกเปลี่ยนเงิน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนในสกุลเงินบาท รวมถึงมีนโยบายการจ่ายปันผลไม่เกินปีละ 4 ครั้งอีกด้วย
ในส่วนของพอร์ตการลงทุนของกองทุนหลักที่มีมูลค่าสูงสุด 3 อันดับแรก คือ บริษัท Sun Hung Kai Properties ซึ่งถือว่าเป็นที่มีพื้นที่ให้เช่าประมาณ 45 ล้านตารางเมตรในฮ่องกง และยังเป็นเจ้าของตึกที่สูงที่สุดในฮ่องกง คือตึก ICC ส่วนอันดับที่ 2 คือ SIMON เป็น REITs ที่ใหญ่สุดในอเมริกา และบริษัท Land Securities เป็นต้น
**กองทรัสต์ทั่วโลกฟื้นตัวตามวัฏจักร**
นางสาวดารบุษ์ป กล่าววต่อว่า แนวโน้มกองทรัสต์หรือ หุ้นอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐฯนั้น GDP และอัตราการจ้างงานเติบโตค่อนข้างช้า ราคาตลาดของกองทุนอสังหาริมทรัพย์ (REITs) มีราคาต่ำกว่าราคา NAV ประมาณ 5-10% มีอัตราค่าเช่าเฉลี่ยค่อนข้างคงที่ มีความโดดเด่นอยู่ในกลุ่มอพาร์ตเมนต์ แต่กำไรสุทธิจากการดำเนินงาน ก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยอัตราการเติบโตของเงินปันผลคาดว่าจะสูงขึ้นประมาณ 10% ต่อปี ขณะที่หนี้ของสหรัฐฯที่มีทั้งสิ้นกว่า 3.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯนับเป็นโอกาสที่ดีต่อหุ้นอสังหาริมทรัพย์
ขณะที่แนวโน้มกองทรัสต์หรือ หุ้นอสังหาริมทรัพย์ในเอเชีย แปซิฟิก ได้แก่ จีน ฮ่องกง และสิงคโปร์ มีมาตรการลดความร้อนแรงของตลาดอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย อัตราการขยายตัวของการเช่าสำนักงานชะลอตัวลง แต่ยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภคและการท่องเที่ยวยังแข็งแกร่ง ส่วนตลาดที่อยู่อาศัยในออสเตรเลียมีความร้อนแรงเกินไป ในขณะที่อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ค่อนข้างมีเสถียรภาพ แต่มีต้นทุนสูง ส่วนญี่ปุ่นอยู่ระหว่างการฟื้นตัวภายหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว ปัจจัยบวกต่อกลุ่มที่อยู่อาศัย
ส่วนแนวโน้มกองทรัสต์หรือ หุ้นอสังหาริมทรัพย์ในยุโรป มีอัตราการเติบโตของ GDP คาดว่าจะชะลอตัวลงแต่ยังคงเป็นบวกอยู่ มูลค่าการลงทุนได้ปรับตัวสูงขึ้นจากระดับต่ำ ราคาตลาดของหุ้นซื้อขายต่ำกว่า NAV ประมาณ 10% โดยความต้องการพื้นที่เช่ายังคงอยู่ในระดับต่ำ เว้นแต่อาคารสำนักงานกลางกรุงลอนดอนและสวีเดนรวมถึงพื้นที่ค้าปลีกสำคัญ ส่วนการลงทุนของกองทุนหลักเน้นลงทุนในสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และสวีเดน
นางสาวดารบุษ์ป กล่าวอีกว่า แนวโน้มกองทรัสต์หรือ หุ้นอสังหาริมทรัพย์มทั่วโลก พื้นฐานของอสังหาริมทรัพย์ยังคงอยู่ในช่วงต้นของการฟื้นตัวตามวัฏจักร การระดมทุนใหม่กว่า 75,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯจนถึงปัจจุบันช่วยค้ำยันหุ้นในกลุ่มอสังหาฯไว้ได้ โดยผู้ปล่อยกู้ที่มีเงินทุนในระดับต่ำและมีภาระหนี้ในระดับสูงจะไม่บังคับให้ผู้กู้ขายทรัพย์สินเพื่อชดใช้หนี้ (เพื่อหลีกเลี่ยงผลขาดทุน) แต่เลือกที่จะเจราจากับผู้กู้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้แทน มีอัตราการจ่ายเงินปันผลเพิ่ม มูลค่าที่แท้จริงของหลักทรัพย์ดูมีความเหมาะสม และอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่ง ดังนั้นจังยังมีความพยายามในการหาช่องทางการลงทุนให้อัตราผลตอบแทนสูงขึ้นต่อไปด้วย
"เวลานักลงทุนเลือกลงทุน REITs ก็มีความคาดหวังเรื่องของเงินปันผล ซึ่งในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวน เรามองว่าช่วงเวลานี้เหมาะกับการซื้อ KT-PROPERTY ซึ่งได้ อัตราเงินปันผลสูง ซึ่งซื้อในราคาถูก ได้ปันผลประมาณ 3.5-4% ส่วน Fund manager ลดน้ำหนักการลงทุนในสิงคโปร์ เนื่องจากกังวลเรื่องราคา อารมาณ์นักลงทุนที่ผันผวนสูง หาก REITs สิงคโปร์ดีขึ้น ก็อาจจะกลับเข้าไปลงทุนต่อ ทั้งนี้การลงทุนในกองทุนอสังหาฯไทย อาจจะได้รับปันผลมากกว่า การลงทุนใน KT-PROPERTY แต่ส่วนที่ได้คือสภาพคล่องสูงว่า การเปลี่ยนมือและมีโอกาสได้รับแคปปิตอลเกนสูงกว่าเมื่อนำปันผลมาสะสมก็น่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า "นางสาวดารบุษ์ปกล่าว
นายเขตขันธ์ ณีศะนันท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายบุคคลธนกิจ ธนาคารซิตี้แบงก์ ในฐานะตัวแทนสนับสนุนการขาย กล่าวว่า ตลาดหุ้นโลกได้ปรับตัวลงประมาณร้อยละ 20 จากระดับสูงสุดของปีนี้ เนื่องจากความ กังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนและกำไรต่อหุ้นของหุ้นโลกที่ลดลงในปีหน้า ใน อดีตที่ผ่านมา หลังจากที่ตลาดหุ้นโลกปรับตัวลงร้อยละ 20 ทิศทางของตลาดหุ้นเกิดได้ 2 รูปแบบ ทางแรกคือ ตลาดปรับตัวลงต่อเนื่อง โดยหุ้นจะปรับตัวลงต่อโดยเฉลี่ยอีกร้อยละ 20 หรือทางที่สองคือตลาดกลับมาปรับ ตัวขึ้น โดยหุ้นจะปรับตัวขึ้นประมาณร้อยละ 20 ในอีก 12 เดือนข้างหน้า
โดยนักวิเคราะห์ซิตี้เชื่อว่าตลาดหุ้นน่าจะกลับมาปรับตัวขึ้น ถึงแม้ว่าความเสี่ยงด้านกำไรของบริษัททั่วโลก เพิ่มสูงขึ้น เรายังคงเชื่อว่าโอกาสที่ผลกำไรจะทรุดลงมากยังน้อยอยู่ การที่ตลาดจะปรับตัวลงต่อเนื่องนั้น ส่วนมากจะเกิดเมื่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนซบเซา โดยกำไรต่อหุ้นตกลงมากกว่าร้อยละ 10 ส่วนตัวเลข เศรษฐกิจโลกที่จะปรับลงนั้นสะท้อนถึงการเติบโตที่ลดลง ไม่ใช่เศรษฐกิจตกต่ำ เราเห็นว่าการที่เศรษฐกิจเติบโต ลดลงนั้น ไม่ได้ทำให้ผลกำไรหมดไป หุ้นโลกมีระดับราคาที่น่าสนใจจากข่าวร้ายต่างๆ ที่ได้สะท้อนไปแล้ว และเราเชื่อว่าหุ้นมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น
สำหรับการลงทุนในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการมีส่วนร่วมกับการเติบโตในระยะยาว เพิ่มไปจากการลงทุนในตลาดหุ้นโดยรวม อย่างไรก็ดี การกระจายความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญ นักลงทุนจะต้องมีวินัยในการสร้างพอร์ตที่มีการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน และปรับให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายและสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป การลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน (Dollar Cost Averaging) ก็อาจเป็นอีกวิธีในการลงทุน