ASTVผู้จัดการรายวัน-บลจ.กสิรไทยคาดหุ้นอินเดียปรับอีก แม้ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐ-ยุโรปยังไม่คลี่คลาย ระบุผลประกอบการที่ดีของบริษัทจดทะเบียนจะเป็นปัจจัยหนุนสำคัญของการเติบโต ล่าสุดเตรียมปันผลกองอินเดีย หุ้นทุน วันที่ 15 สิงหาคมนี้ ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย หลังผลงานกองแม่สุดเด่นปรับตัวบวกสวนตลาด
นางสาวเบญจรงค์ เตชะมวลไววิทย์ ผู้บริหารฝ่ายจัดหาผลิตภัณฑ์พิเศษและบริหารทรัพย์ส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจและการลงทุนในตลาดหุ้นอินเดียน่าจะอยู่ในทิศทางที่ดี แม้ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งตลาดหุ้นอินเดียได้ปรับตัวลดลงจากปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐฯและยุโรป ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคมที่ผ่านมา
ประกอบกับในปลายเดือนกรกฎาคมธนาคารกลางของอินเดียได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 0.50% ซึ่งเกินกว่าที่ตลาดได้คาดการณ์ไว้เพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง โดยบริษัทยังคงคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางอินเดียน่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกประมาณ 2 ครั้งในปีนี้ เนื่องจากระดับอัตราเงินเฟ้อใกล้จะถึงจุดสูงสุดแล้ว ด้านตัวเลขทางเศรษฐกิจของอินเดียโดยภาพรวมไม่ได้ปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องจากปีที่ที่ผ่านมาอาจส่งผลกระทบต่อตัวเลขทางเศรษฐกิจไปบ้าง ดังนั้นหากพิจารณาจากผลประกอบการที่ดีของบริษัทจดทะเบียนซึ่งบริหารต้นทุนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น บริษัทยังเชื่อมั่นว่าจะเป็นปัจจัยบวกที่ส่งผลให้เศรษฐกิจอินเดียเติบโตได้ถึง 8.1% ในปีหน้า
ทั้งนี้ล่าสุด บริษัทยังได้เตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนเปิดเค อินเดีย หุ้นทุน (K-INDIA) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2554 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2554 ให้ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีชื่อในสมุดทะเบียนเวลา 8.00น.ของวันที่ 1 สิงหาคม 2554 ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วยคิดเป็นเงิน 11,759,102 บาท โดยมีกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 15 สิงหาคม 2554
“การจ่ายเงินปันผลครั้งแรกของกองทุน K-INDIA นี้ มีอัตราผลตอบแทนของเงินปันผล หรือ Dividend Yield อยู่ที่ 1.92 % และแม้ว่ากองทุน K-INDIA จะเป็นกองทุน FIF ที่ บลจ. กสิกรไทยเพิ่งจัดตั้งไปแค่เพียง 2 เดือนเศษ แต่เห็นได้ชัดเจนว่า ผลการดำเนินงานของกองทุนอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ โดยกองทุนมีผลการดำเนินงานเป็นบวกตั้งแต่จัดตั้งกองทุนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม 3.91% สวนทางกับผลตอบแทนจากดัชนีตลาดหุ้นอินเดีย BSE 100 ซึ่งติดลบอยู่ที่ประมาณ -1.61% แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการคัดเลือกหุ้นที่มีศักยภาพของผู้จัดการกองทุนหลัก” นางสาวเบญจรงค์กล่าว
สำหรับกองทุน UTI India Fund - 1996 Share ซึ่งเป็นกองทุนหลักของกองทุน K-INDIA ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีผลการดำเนินงานเป็นบวกถึง 3% สวนทางกับตลาดหุ้นอินเดียที่ปรับตัวลดลงเนื่องจากกองทุนหลักมีสัดส่วนการถือหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก(Mid & Small Cap) รวมกันถึงประมาณ 44% แตกต่างจากกองทุนหุ้นอินเดียอื่นๆ ซึ่งมักมุ่งลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ (Large Cap) ดังนั้นเมื่อหุ้นในกลุ่มขนาดกลาง และขนาดเล็ก มีผลการดำเนินงานเป็นบวกถึง 5% ในเดือนกรกฎาคม สวนทางกับหุ้นขนาดใหญ่ ที่ปรับตัวลดลง จึงทำให้กองทุนสามารถมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าตลาดได้ นอกจากนั้นการที่ทีมผู้จัดการกองทุนและนักวิเคราะห์ของหลักเป็นชาวอินเดียและประจำอยู่ในอินเดียโดยตรง ทำให้มีความเข้าใจในสภาพตลาดได้ดี และสามารถคัดเลือกหุ้นในกลุ่มขนาดกลางและขนาดเล็ก เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับกองทุนได้
นางสาวเบญจรงค์ เตชะมวลไววิทย์ ผู้บริหารฝ่ายจัดหาผลิตภัณฑ์พิเศษและบริหารทรัพย์ส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจและการลงทุนในตลาดหุ้นอินเดียน่าจะอยู่ในทิศทางที่ดี แม้ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งตลาดหุ้นอินเดียได้ปรับตัวลดลงจากปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐฯและยุโรป ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคมที่ผ่านมา
ประกอบกับในปลายเดือนกรกฎาคมธนาคารกลางของอินเดียได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 0.50% ซึ่งเกินกว่าที่ตลาดได้คาดการณ์ไว้เพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง โดยบริษัทยังคงคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางอินเดียน่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกประมาณ 2 ครั้งในปีนี้ เนื่องจากระดับอัตราเงินเฟ้อใกล้จะถึงจุดสูงสุดแล้ว ด้านตัวเลขทางเศรษฐกิจของอินเดียโดยภาพรวมไม่ได้ปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องจากปีที่ที่ผ่านมาอาจส่งผลกระทบต่อตัวเลขทางเศรษฐกิจไปบ้าง ดังนั้นหากพิจารณาจากผลประกอบการที่ดีของบริษัทจดทะเบียนซึ่งบริหารต้นทุนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น บริษัทยังเชื่อมั่นว่าจะเป็นปัจจัยบวกที่ส่งผลให้เศรษฐกิจอินเดียเติบโตได้ถึง 8.1% ในปีหน้า
ทั้งนี้ล่าสุด บริษัทยังได้เตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนเปิดเค อินเดีย หุ้นทุน (K-INDIA) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2554 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2554 ให้ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีชื่อในสมุดทะเบียนเวลา 8.00น.ของวันที่ 1 สิงหาคม 2554 ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วยคิดเป็นเงิน 11,759,102 บาท โดยมีกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 15 สิงหาคม 2554
“การจ่ายเงินปันผลครั้งแรกของกองทุน K-INDIA นี้ มีอัตราผลตอบแทนของเงินปันผล หรือ Dividend Yield อยู่ที่ 1.92 % และแม้ว่ากองทุน K-INDIA จะเป็นกองทุน FIF ที่ บลจ. กสิกรไทยเพิ่งจัดตั้งไปแค่เพียง 2 เดือนเศษ แต่เห็นได้ชัดเจนว่า ผลการดำเนินงานของกองทุนอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ โดยกองทุนมีผลการดำเนินงานเป็นบวกตั้งแต่จัดตั้งกองทุนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม 3.91% สวนทางกับผลตอบแทนจากดัชนีตลาดหุ้นอินเดีย BSE 100 ซึ่งติดลบอยู่ที่ประมาณ -1.61% แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการคัดเลือกหุ้นที่มีศักยภาพของผู้จัดการกองทุนหลัก” นางสาวเบญจรงค์กล่าว
สำหรับกองทุน UTI India Fund - 1996 Share ซึ่งเป็นกองทุนหลักของกองทุน K-INDIA ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีผลการดำเนินงานเป็นบวกถึง 3% สวนทางกับตลาดหุ้นอินเดียที่ปรับตัวลดลงเนื่องจากกองทุนหลักมีสัดส่วนการถือหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก(Mid & Small Cap) รวมกันถึงประมาณ 44% แตกต่างจากกองทุนหุ้นอินเดียอื่นๆ ซึ่งมักมุ่งลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ (Large Cap) ดังนั้นเมื่อหุ้นในกลุ่มขนาดกลาง และขนาดเล็ก มีผลการดำเนินงานเป็นบวกถึง 5% ในเดือนกรกฎาคม สวนทางกับหุ้นขนาดใหญ่ ที่ปรับตัวลดลง จึงทำให้กองทุนสามารถมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าตลาดได้ นอกจากนั้นการที่ทีมผู้จัดการกองทุนและนักวิเคราะห์ของหลักเป็นชาวอินเดียและประจำอยู่ในอินเดียโดยตรง ทำให้มีความเข้าใจในสภาพตลาดได้ดี และสามารถคัดเลือกหุ้นในกลุ่มขนาดกลางและขนาดเล็ก เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับกองทุนได้