"ศุภกร" เปิดแผนปั้น บลจ.นครหลวงไทย เป็นบลจ.ที่ชำนาญเฉพาะด้าน หวังโดดแข่งตลาดกลุ่มเล็ก ประเดิมเป้าหมาย 3 เดือน สร้างผลตอบแทนฟื้นความเชื่อมั่น พร้อมเข็นกองใหม่ลุยตลาดดึงนักลงทุน คาดใช้เวลา 1 เดือน เดินหน้าธุรกิจพร้อมผู้ถือหุ้นใหม่ ด้าน "เกียรตินาคิน" ชัดเจนแล้ว หลังบอร์ดไฟเขียวซื้อหุ้น 60%
นายศุภกร สุนทรกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) นครหลวงไทย จำกัด เปิดเผยว่า ตนมีเป้าหมายที่จะปั้นบลจ.นครหลวงไทยในปัจจุบัน ให้เป็นบลจ.ที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน (บูธีค) เพื่อให้นักลงทุนเกิดการจดจำ เนื่องจากปัจจุบัน บลจ.นครหลวงไทยเอง คงขึ้นไปแข่งขันกับบลจ.ขนาดใหญ่ที่มีแขนขาสนับสนุนได้ ดังนั้น จึงต้องสร้างความชัดเจนให้กับตนเองว่าจะเป็นบลจ.แบบไหน ซึ่งในส่วนของการออกกองทุนเอง ก็ต้องมีความหลากหลายและมีทางเลือกให้กับนักลงทุนมากขึ้น จากปัจจุบันที่บริษัทมีกองทุนหุ้น กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (อาร์เอ็มเอฟ) กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมต่างประเทศที่ลงทุนในหุ้นจีน ทองคำและธุรกิจเฮลล์แคร์
ทั้งนี้ ในส่วนของสินทรัพย์สิทธิภายใต้การบริหาร (เอยูเอ็ม) คงไม่ได้เน้นการเติบโตว่าจะต้องมีสินทรัพย์เท่าไหร่ แต่มีเป้าหมายที่จะให้บริการและสร้างความพึงพอใจ รวมถึงการสร้างผลตอบแทนในระดับที่น่าพอใจให้กับนักลงทุนเป็นหลัก โดยปัจจุบัน บลจ.นครหลวงไทย มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้นประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์กว่า 1 หมื่นล้านบาท ส่วนอีกประมาณ 8,000 ล้านบาทเป็นกองทุนรวม อย่างไรก็ตาม ก็มีความคาดหวังว่าภายใน 3 ปี สินทรัพย์จะเพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับ 30,000-50,000 ล้านบาทได้
"ภายใน 3 เดือนหลังจากนี้ มีเป้าหมายที่จะสร้างผลตอบแทนให้ลูกค้าเห็นเป็นอันดับแรก โดยในช่วงที่เข้ามารับตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคมที่ผ่านมา ก็มีการปรับพอร์ตการลงทุนไปบ้างแล้วในส่วนของกองทุนหุ้น ในขณะที่กองทุนเฮลล์แคร์เอง ซึ่งมีผลการดำเนินงานค่อนข้างดีในช่วงนี้ ก็จะปรับพอร์ตให้แอกทีฟมากขึ้นด้วย"นายศุภกรกล่าว
นายศุภกรกล่าวว่า ในส่วนของกองทุนใหม่นั้น มีแผนที่จะออกทั้งกองทุนประเภททาร์เก็ตฟันด์ กองทุนน้ำมัน กองทุนที่ลงทุนในหุ้นตลาดเกิดใหม่ ซึ่งกองทุนเหล่านี้ บลจ.นครหลวงไทยยังไม่มีเป็นทางเลือกให้ลูกค้า โดยหลังจากขั้นตอนของการปรับเปลี่ยนองค์กรใหม่ และมีความชัดเจนเรื่องพันธมิตรร่วมทุนแล้ว และการเปลี่ยนชื่อบลจ.แล้ว คาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 1 เดือน ก็จะสามารถออกกองทุนกองแรกได้
ขณะเดียวกัน ในระหว่างช่วงของการปรับเปลี่ยนองค์กร ก็มีแผนจะเพิ่มทีมผู้จัดการกองทุนเข้ามาเสริมทีมด้วย ซึ่งประกอบด้วย ผู้จัดการกองทุนหุ้น กองทุนตราสารหนี้ กองทุนต่างประเทศ รวมถึงทีมบริหารความเสี่ยงและทีมมาร์เก็ตติ้ง และระบบงานอื่นๆ เพิ่มเติมด้วย นอกจากนี้ ยังต้องสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าเก่า และตัวแทนจำหน่วยหน่วยลงทุนหรือเซลลิ่งเอเจนต์ต่างๆ ด้วย
สำหรับความร่วมมือกับกบข. ซึ่งจะยังเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ในอนาคตนั้น มองว่า ในส่วนนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อสมาชิกและเป็นประโยชน์ต่อบลจ. เอง เพราะหากสมาชิกกบข. ที่เกษียณแล้วและต้องการหาผลตอบแทนเพิ่ม การโยกมาลงทุนผ่านกองทุนรวมน่าจะเป็นทางเลือกที่ได้ประโยชน์ โดยเฉพาะเรื่องของสภาพคล่องที่ค่อนข้างสูงกว่า
ด้านรายงานข่าวจากธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) หรือ KK เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการธนาคาร มีมติอนุมัติให้ธนาคาร ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน นครหลวงไทย จำกัด (บลจ. นครหลวงไทย) สัดส่วน 60% โดยธนาคาร ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้น บลจ. นครหลวงไทย จำกัด กับกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2554 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมธุรกิจธนบดีธนกิจ และสนับสนุนการบริการทางการเงินของธนาคาร
โดยภายหลังจากลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นดังกล่าวแล้ว คู่สัญญายังคงมีหน้าที่ที่จะต้องดำเนินการตามเงื่อนไขบังคับก่อน (Conditions Precedent) ที่กำหนดไว้ในสัญญาให้ครบถ้วนก่อนที่จะรับโอนหุ้นของ บลจ. นครหลวงไทย และชำระราคาให้แก่ผู้ขาย ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวรวมถึงการได้รับอนุมัติจากหน่วยงานที่มีอำนาจกำกับดูแลของบลจ. นครหลวงไทย และธนาคารด้วย ดังนั้นการเข้าทำสัญญาซื้อขายหุ้นดังกล่าว จึงยังไม่ถือเป็นธุรกรรมที่สมบูรณ์ และอาจไม่เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์หากคู่สัญญาที่เกี่ยวข้องไม่สามารถดำเนินการให้เงื่อนไขบังคับก่อนสำเร็จโดยครบถ้วนสมบูรณ์ภายในระยะเวลาที่กำหนด
ปัจจุบัน ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) มี 66 สาขาทั่วประเทศ ด้วยสินทรัพย์รวมกว่า 150,000 ล้านบาท
กบข.คาดดีลขายหุ้นจบเดือนหน้า
นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย เลขาธิการ กอทุนบำเหน็จบำนาญข้าาชการ(กบข.) เปิดเผยว่า ความคืบหน้าการขายหุ้น 60% ให้กับธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) กำลังอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบและดำเนินงานอยู่ ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นและดำเนินงานได้ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ โดยหุ้นที่เหลืออีก 40% นั้นกบข.จะเป็นผู้ถือหุ้น โดยธนาคารเกียรตินาคิน จะเป็นผู้ดูแลและบริหารงาน ซึ่งได้นายศุภกร สุนทรกิจ เข้ามาเป็นผู้บริหารบลจ.นครหลวงไทย
สำหรับพอร์ตการลงทุนของกบข.ในช่วงนี้เราได้ปรับสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทยลงจาก 11% เป็น 9.7% โดยเพิ่มสัดส่วนลงทุนไปยังตลาดเกิดใหม่เช่น จีน ไต้หวัน แทนเนื่องจากช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยค่อนข้างผันผวน ประกอบกับกำลังจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ซึ่งเราคงจะต้องดูสถานการณ์การเมืองก่อนว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงนโยบายการทำงานของพรรคที่เข้ามาเป็นรัฐบาล ซึ่งหากปัญหาดังกล่าวจัดการได้เรียบร้อยแล้ว ทางกบข.เองจะมีการปรับพอร์ตการลงทุนใหม่อีกครั้ง
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ทางกบข.ได้มีการขอนุญาตจากคณะกรรมการเข้าไปลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ แต่เรามองว่าช่วงเวลานี้อาจจะไม่เหมาะที่จะเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์ดังกล่าวเนื่องจากราคาค่อนข้างสูงทำให้เราจะต้องดูจังหวะการกลับเข้าไปลงทุนอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนี้เราได้มีการกระจายการลงทุนไปยังกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (infrastructure fund) ในประเทศที่พัฒนาแล้วอีกด้วย ส่วนการลงทุนในตลาดตราสารหนี้นั้นทางกบข.เองได้ปรับการลงทุนโดยเน้นลงทุนในตราสารหนี้อายุสั้นมากขึ้น เนื่องจากยังอยู่ในช่วงอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นอยู่