xs
xsm
sm
md
lg

กสิกรฯปันผล3กองทุนหุ้น จับตาการเมือง-ต่างประเทศหนุนดัชนี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-บลจ.กสิกรไทยเดินหน้าปันผล 3 กองทุนหุ้นพร้อมกัน 15 สิงหาคมนี้ รวงข้าว 2 จ่ายสูงสุด 2 บาทต่อหน่วย พร้อมแนะนักลงทุนเลือกกองปันผล ล็อกผลตอบแทนหากไม่ชำนาญเล่นหุ้น ด้านแอสเซทพลัสคาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้าอยู่ในกรอบ 1,130-1,150 จุด ปรับขึ้นตามต่างประเทศ และการเมืองไทยเข้ามาเป็นปัจจัยหนุนช่วงเปิดสภา

นางสาวยุพาวดี ตู้จินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนหุ้น 3 กองทุนได้แก่ กองทุนเปิดเค หุ้นปันผล (K-VALUE)สำหรับผลการดำเนินการตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 ถึง 31 กรกฎาคม 2554 ในอัตรา 0.40 บาทต่อหน่วย

ส่วนอีก 2 กองทุนได้แก่ กองทุนเปิดรวงข้าว 2 (RKF2) และ กองทุนเปิดรวงข้าว 4 (RKF4) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2553 ถึง 31 กรกฎาคม 2554 ในอัตรา 2.00 บาท ต่อหน่วย และ 1.00 บาท ต่อหน่วย ตามลำดับ โดยจะทำการจ่ายเงินปันผลพร้อมกันทั้ง 3 กองทุนในวันที่ 15 สิงหาคมนี้

ทั้งนี้ กองทุนทั้ง 3 กองถือว่ามีผลการดำเนินงานที่โดนเด่นมาก ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราผลตอบแทนของเงินปันผล โดยเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2554 อยู่ที่ 3.45% ในขณะที่กองทุน RKF2 RKF4 และ K-VALUEมี Dividend Yield สูงถึง 15.40 % 12.94% และ 5.87% ตามลำดับ"นางยุพาวดีกล่าว

"การที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง ผู้ลงทุนที่ไม่มีเวลาหรือไม่มีความชำนาญเพียงพอที่จะจับจังหวะการขายคืนด้วยตนเอง ทำให้พลาดโอกาสในการทำกำไร ดังนั้นหากลงทุนในกองทุนที่มีนโยบายการจ่ายเงินปันผล ก็เท่ากับช่วยล็อกผลกำไรส่วนหนึ่งออกมาระหว่างทางที่ลงทุน"นางสาวยุพาวดีกล่าว
นอกจากนี้กองทุนดังกล่าวทั้ง 3 กองทุนมีประวัติการจ่ายปันผลมาอย่างต่อเนื่อง โดยครั้งล่าสุดจ่ายปันผลไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2554 ซึ่งกองทุน RKF2 จ่ายปันผลมาแล้ว 20 ครั้ง รวม 15.94 บาท RKF4 จ่ายปันผลมาแล้ว 14 ครั้ง รวม 6.69 บาท และ K-VALUE จ่ายปันผลทั้งสิ้น 14 ครั้ง รวม 6.67 บาท

ด้านรายงานจากบลจ.แอสเซทพลัส เปิดเผยว่า แนวโน้มดัชนีหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าคาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,130-1,150 จุดโดยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นตามตลาดต่างประเทศหลังจากการที่ผู้นำของทั้ง 2 พรรคการเมืองของสหรัฐมีความเห็นร่วมกันต่อการแก้ปัญหาหนี้ซึ่งจะมีการลงคะแนนในคืนนี้ ส่วนปัจจัยภายในประเทศได้แก่ การเปิดประชุมสภาวันแรก ตามมาด้วยนัดที่สองเพื่อเลือกประธานสภาฯ ส่วนการเลือกนายกรัฐมนตรีจะเกิดขึ้นในการประชุมนัดที่สาม รวมถึงการประกาศผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนดัชนีหุ้นไทย

ขณะที่ตลาดต่างประเทศน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่าผู้นำของทั้ง 2 พรรคการเมือง ได้มีข้อสรุปร่วมกันในการเพิ่มเพดานหนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการผิดชำระหนี้สาธารณะ ส่วนแผนการตัดลงภาระขาดดุลงบประมาณจะอยู่ที่ 1-1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายใน 10 ปีข้างหน้า ผ่านการตัดงบในหน่วยงานสำคัญๆ คือ การรักษาพยาบาล และการป้องกันประเทศ เป็นต้น จะมีการเสนอรายละเอียดอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม หลังมีข้อสรุปเพิ่มเพดานหนี้แล้ว หลังจากนี้ จะต้องกลับไปผ่านขบวนการผ่านร่างกฏหมายอีกครั้ง โดยดัชนี S&P500 น่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,275-1,320 จุด ขณะที่ดัชนี Hang Seng ของฮ่องกงน่าจะเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 22,520-23,000 จุด
กำลังโหลดความคิดเห็น