โตเกียวมารีนประกันภัย ลั่นติด 1 ใน 3 ผู้นำด้านประกันภัยใน 6 ปี วางแผนบันได 3 ขั้นลุยกวาดเบี้ย มั่นใจสิ้นปีทำยอดแตะ 4.5 พันล้านบาท ส่วนอีก 3 ปีข้างหน้ามีเบี้ย 7.5 พันล้านบาท ก่อนก้าวขึ้นอันดับตามเป้าที่วางไว้ พร้อมเตรียมทุ่มงบพัฒนาระบบต่อยอดการให้บริการเพิ่ม หลังใช้ไปแล้วกว่า 200 ล้านวางระบบปฏิบัติการ และการให้บริการ
นายหลักชัย สุทธิชูจิต กรรมการผู้จัดการ บริษัทโตเกียวมารีนศรีเมืองประกันภัย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทวางแผนระยะยาวเพื่อให้ผลการดำเนินงานติดอันดับ 1 ใน 3 ของผู้นำด้านธุรกิจประกันภัยภายในอีก 6 ปีข้างหน้า และขณะนี้ถือว่าผ่านแผนงานในระยะแรกไปแล้ว 3 ปี โดยคาดว่าในสิ้นปีนี้บริษัทจะสามารถเติบโตได้ถึง 30% และมีเบี้ยรับตรงประมาณ 4.5 พันล้านบาท
"ตามแผนตอนนี้เราอยู่ระหว่างระยะกลางซึ่งจากนี้ถึงปี 2014 เราน่าจะมีเบี้ยประมาณ 7.5 พันล้านบาท และในปี 2015 ถึง 2017 เราจะติดท็อป 3 ของธุรกิจประกันภัยได้ ซึ่งถ้าจะถามว่าคู่แข่งเราก็โตนั้น แต่เราเชื่อว่าถ้าเราดำเนินตามแผนงานนี้ให้เป็นไปตามเป้าได้ ก็มีความเป็นไปได้ตามที่วางแผน ซึ่งปัจจุบัน 6 เดือนตอนนี้เราก็อยู่อันดับที่ 5 แล้ว"นายหลักชัยกล่าว
ขณะที่ ผลการดำเนินงานในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมาบริษัทมีผลการดำเนินงานเติบโตถึง 28% คิดเป็นเบี้ยประกันภัยรับตรงกว่า 2.9 พันล้านบาท โดยเฉพาะประกันภัยรถยนต์ที่มีการเติบโตถึง 41% และที่เหลือเป็นประเภทนอนมอเตอร์ นอกจากนี้บริษัทยังมีกำไรก่อนการหักภาษีอยู่ที่ 244 ล้านบาท แบ่งเป็นกำไรจากการลงทุนประมาณ 50 ล้านบาท และส่วนที่เหลือเป็นกำไรจากการรับประกันภัย โดยปัจจุบันบริษัทมีพอร์ตการลงทุนรวมประมาณ 4 พันล้านบาท
ส่วนแนวโน้มการประกันภัยในช่วงที่เหลือของปีนี้น่าจะปรับตัวดีขึ้น หลังจากเกิดเหตุการณ์สึนามิทำให้การจำหน่ายรถยนต์ล่าช้าออกไป แต่หลังจากนี้น่าจะกลับมาเป็นปกติ ซึ่งที่ผ่านมาในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคมที่ผ่านมา บริษัทได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าวพอสมควร แต่ปัจจุบันปรับตัวดีขึ้นมากแล้วและคาดว่าจะทำให้ผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้
นายหลักชัย กล่าวอีกว่า หลังจากนี้บริษัทจะมีการพัฒนาเพื่อรองรับการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปัจุบันบริษัทได้มีการลงทุนเพื่อพัฒนาระบบไอทีและการให้บริษัทไปแล้วกว่า 200 ล้านบาท ซึ่งหลังจากนี้จะมีการลงทุนเพื่อต่อยอดในทุกด้านเพิ่มมาขึ้น ส่วนการพลักดันด้านการขายปัจจุบันบริษัทมีการขยายสาขาจากเดิม 2 สาขา เพิ่มขึ้นมาเป็น 20 สาขา และมีศูนย์สินไหม 4 สาขาครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ
ทั้งนี้ บริษัทยังเตรียมพัฒนาบุคคลากรของบริษัท ทั้งในด้านสินค้า และการให้บริการ เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้า โดยจะให้ความสำคัญทั้งตลาดภูมิภาค และกรุงเทพมหานคร
"เรามีการพัฒนาระบบเพื่อรองรับการทำงาน และการให้บริการอยู่ตลอดเวลา แต่นอกจากนี้แล้วเรายังพัฒนาบุคคลากรในด้านความรู้ต่างเพิ่มขึ้นด้วย โดยเราจะนำความรู้จากบริษัทแม่ที่ประเทศญี่ปุ่นมาถ่ายทอดนวัตกรรม รวมถึงสินค้าใหม่ๆ ให้แก่พนักงานของเรา"นายหลักชัยกล่าว
นอกจากนี้ ยังคงเดินหน้าขยายฐานลูกค้ารายย่อยควบคู่กับการรักษาฐานลูกค้าเก่า ผ่านกิจกรรมการตลาดในรูปแบบต่างๆ เพราะคาดว่าธุรกิจในกลุ่มประกันวินาศภัยยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก และเน้นให้ความสำคัญในส่วนของการให้บริการทางด้านการจ่ายสินไหมทั้งมอเตอร์ และนอนมอเตอร์ (Motor Claims and Non-motor Claims ) การเพิ่มจำนวนสาขาใหม่ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับลูกค้ามากขึ้น และสามารถรองรับความต้องการของลูกค้าให้คลอบคลุ่มทั่วประเทศ
นายหลักชัย สุทธิชูจิต กรรมการผู้จัดการ บริษัทโตเกียวมารีนศรีเมืองประกันภัย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทวางแผนระยะยาวเพื่อให้ผลการดำเนินงานติดอันดับ 1 ใน 3 ของผู้นำด้านธุรกิจประกันภัยภายในอีก 6 ปีข้างหน้า และขณะนี้ถือว่าผ่านแผนงานในระยะแรกไปแล้ว 3 ปี โดยคาดว่าในสิ้นปีนี้บริษัทจะสามารถเติบโตได้ถึง 30% และมีเบี้ยรับตรงประมาณ 4.5 พันล้านบาท
"ตามแผนตอนนี้เราอยู่ระหว่างระยะกลางซึ่งจากนี้ถึงปี 2014 เราน่าจะมีเบี้ยประมาณ 7.5 พันล้านบาท และในปี 2015 ถึง 2017 เราจะติดท็อป 3 ของธุรกิจประกันภัยได้ ซึ่งถ้าจะถามว่าคู่แข่งเราก็โตนั้น แต่เราเชื่อว่าถ้าเราดำเนินตามแผนงานนี้ให้เป็นไปตามเป้าได้ ก็มีความเป็นไปได้ตามที่วางแผน ซึ่งปัจจุบัน 6 เดือนตอนนี้เราก็อยู่อันดับที่ 5 แล้ว"นายหลักชัยกล่าว
ขณะที่ ผลการดำเนินงานในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมาบริษัทมีผลการดำเนินงานเติบโตถึง 28% คิดเป็นเบี้ยประกันภัยรับตรงกว่า 2.9 พันล้านบาท โดยเฉพาะประกันภัยรถยนต์ที่มีการเติบโตถึง 41% และที่เหลือเป็นประเภทนอนมอเตอร์ นอกจากนี้บริษัทยังมีกำไรก่อนการหักภาษีอยู่ที่ 244 ล้านบาท แบ่งเป็นกำไรจากการลงทุนประมาณ 50 ล้านบาท และส่วนที่เหลือเป็นกำไรจากการรับประกันภัย โดยปัจจุบันบริษัทมีพอร์ตการลงทุนรวมประมาณ 4 พันล้านบาท
ส่วนแนวโน้มการประกันภัยในช่วงที่เหลือของปีนี้น่าจะปรับตัวดีขึ้น หลังจากเกิดเหตุการณ์สึนามิทำให้การจำหน่ายรถยนต์ล่าช้าออกไป แต่หลังจากนี้น่าจะกลับมาเป็นปกติ ซึ่งที่ผ่านมาในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคมที่ผ่านมา บริษัทได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าวพอสมควร แต่ปัจจุบันปรับตัวดีขึ้นมากแล้วและคาดว่าจะทำให้ผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้
นายหลักชัย กล่าวอีกว่า หลังจากนี้บริษัทจะมีการพัฒนาเพื่อรองรับการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปัจุบันบริษัทได้มีการลงทุนเพื่อพัฒนาระบบไอทีและการให้บริษัทไปแล้วกว่า 200 ล้านบาท ซึ่งหลังจากนี้จะมีการลงทุนเพื่อต่อยอดในทุกด้านเพิ่มมาขึ้น ส่วนการพลักดันด้านการขายปัจจุบันบริษัทมีการขยายสาขาจากเดิม 2 สาขา เพิ่มขึ้นมาเป็น 20 สาขา และมีศูนย์สินไหม 4 สาขาครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ
ทั้งนี้ บริษัทยังเตรียมพัฒนาบุคคลากรของบริษัท ทั้งในด้านสินค้า และการให้บริการ เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้า โดยจะให้ความสำคัญทั้งตลาดภูมิภาค และกรุงเทพมหานคร
"เรามีการพัฒนาระบบเพื่อรองรับการทำงาน และการให้บริการอยู่ตลอดเวลา แต่นอกจากนี้แล้วเรายังพัฒนาบุคคลากรในด้านความรู้ต่างเพิ่มขึ้นด้วย โดยเราจะนำความรู้จากบริษัทแม่ที่ประเทศญี่ปุ่นมาถ่ายทอดนวัตกรรม รวมถึงสินค้าใหม่ๆ ให้แก่พนักงานของเรา"นายหลักชัยกล่าว
นอกจากนี้ ยังคงเดินหน้าขยายฐานลูกค้ารายย่อยควบคู่กับการรักษาฐานลูกค้าเก่า ผ่านกิจกรรมการตลาดในรูปแบบต่างๆ เพราะคาดว่าธุรกิจในกลุ่มประกันวินาศภัยยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก และเน้นให้ความสำคัญในส่วนของการให้บริการทางด้านการจ่ายสินไหมทั้งมอเตอร์ และนอนมอเตอร์ (Motor Claims and Non-motor Claims ) การเพิ่มจำนวนสาขาใหม่ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับลูกค้ามากขึ้น และสามารถรองรับความต้องการของลูกค้าให้คลอบคลุ่มทั่วประเทศ