สหรัฐฯหลังโดนลดเครดิตต้องเร่งแก้ไข จีนฐานะเจ้าหนี้เตือนไม่ควรกู้เงินเพิ่มหนี้

นายกสมาคม บลจ. เผยหลังสหรัฐฯโดน S&P ลดอันดับลงเหลือแค่ AA+ จีนในฐานะเจ้าหนี้พันธบัตร ก.คลัง ชี้ ต้องยืมรับความจริง เร่งแก้ไขปัญหาหนี้สิน ยิ่งกู้เงินยิ่งเพิ่มเพดานหนี้

นางวรวรรณ ธาราภูมิ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน (สมาคม บลจ.) และประธานเจ้าหน้าบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่าน S&P ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศลงจาก AAA เป็น AA+ ส่งผลให้คนในชาติเดียวกันต่อว่าต่อขาน และประนามจข้อบกพร่องของ S&P

ทั้งนี้ ต่อให้ S&P ยังคงระดับ AAA ให้สหรัฐ หรือยกเกรดพิเศษที่คิดมาให้อเมริกาโดยเฉพาะให้เป็น เอหลาย ๆ ตัว หนี้สินกับอัตราการว่งงานมันก็ไม่ได้ลด คนอเมริกันจึงหลีกเลี่ยงความจริงไปไม่ได้ว่าตัวเองกำลังถังแตกสุด ๆ หากไม่ยอมรับความจริงในวันนี้ แล้วรีบแก้ไขกันอย่างจริงจัง และการกู้เงินเพิ่มโดยไม่หารายได้เพิ่มแบบที่ทำนี้ ยังมองว่าจะช่วยอะไรไม่ได้

"การตัดสินใจแก้ปัญหาหนี้สินแบบนี้ของสหรัฐเป็นการสายตาสั้นอย่างสิ้นเชิง รัฐบาลสหรัฐต้องยอมรับความจริงแม้จะเจ็บปวดว่าวันคืนเก่า ๆ ที่สุขสบายด้วยการกู้ยืมมาใช้ ได้ผ่านพ้นไปแล้ว ในฐานะที่จีนเป็นเจ้าหนี้พันธบัตร ก.คลังของสหรัฐรายใหญ่ที่สุด จีนจะไม่ให้ความเห็นใจที่สหรัฐถูกลดความน่าเชื่อถือทางเศรษฐกิจ และขอใช้สิทธิทุกอย่างที่เป้นเจ้าหนี้โดยชอบธรรมที่จะขอเรียกร้องให้สหรัฐเปิดเผยโครงสร้างการแก้ปัญหาหนี้สินอย่างละเอียด พร้อมให้ความมั่นใจในความปลอดภัยต่อเงินดอลลาร์ของสหรัฐที่จีนถือครองอยู่ นอกจากนั้น ยังเตือนว่าความสะดวกในการกู้เงินมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบเฉพาะหน้าได้ผ่านพ้นไปแล้ว การเพิ่มเพดานหนี้นอกจากจะไม่ได้ปลดชนวนระเบิดหนี้สินแล้ว ยังทำให้อานุภาพของระเบิดรุนแรงขึ้นด้วย ดังนั้น จึงถึงเวลาแล้วที่ประชาคมโลกจะต้องร่วมกันกำหนดนโยบายเกี่ยวกับเงินดอลลาร์" นายกสมาคม บลจ. กล่าว

นางวรวรรณ กล่าวต่อไปว่า การลดอันดับแบบนี้มันเกิดขึ้นมาแล้วในสหรัฐช่วงยุค ‘80s มีบริษัท เอกชน 60 บริษัทที่ได้อันดับ AAA เท่าอันดับของประเทศ พอมาถึงปี 1995 เหลือเพียงครึ่งเดียว และในวันนี้ที่แม้กระทั่ง Berkshire Hathaway ของนายวอร์เรน บัฟเฟต GE และ บริษัทยาชั้นนำอย่าง Pfizer ก็ถูกลดอันดับจาก AAA ไปแล้ว มาวันนี้เหลือเพียง 4 บริษัทเท่านั้นที่ยังได้ AAA ซึ่งนับว่ามีฐานะการเงินแข็งแกร่งกว่าสหรัฐ ได้แก่ Microsoft, Exxon Mobil, Johnson & Johnson และ Automatic Data Processing

นายไพศาล ครุฑดำรงชัย รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด กล่าวว่า จากปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯในขณะนี้ คาดว่ารัฐบาลสหรัฐฯ น่าจะออกมาตการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอีกแน่นอน ดังนั้นน่าจะเห็นมาตรการ QE3 ออกต่อเนื่องจาก ซึ่งเมื่อออกมาตรการ QE3 ออกมาแล้ว แนวโน้มของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ น่าจะอ่อนค่าลงมาเพื่อให้สามารถส่งออกได้

ขณะที่การแก้ปัญหาหนี้ของยุโรปนั้นน่าจะยืดเยื้อออกไป และยังต้องแก้ปัญหาอีกมาก เนื่องจากยุโรปมีหลายประเทศการแก้ปัญหาจึงล่าช้ากว่าสหรัฐฯ ซึ่งล่าสุด ธนาคารกลางยุโรปเตรียที่จะซื้อพันธบัตรของอิตาลีและสเปน เพื่อกันไม่ให้ปัญหาลุกลามไปยัง 2 ประเทศนี้

อย่างไรก็ตาม ปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯและยุโรปนั้น ส่งผลกระทบต่อภูมิภาคเอเชียบ้างแต่ไม่รุนแรงนัก โดยภาคการส่งออกอาจได้รับผลกระทบบ้าง รวมถึงตลาดหุ้นหากคาดว่าผลประกอบการของบริษัทต่างๆ อาจจะออกมาไม่ดี ซึ่งขณะนี้นักลงทุนส่วนใหญ่จึงขายสินทรัพย์ออกมาแล้วไปถือทองคำแทน