บลจ. ซิมิโก้ ไม่อยู่นิ่ง รับการแข่งขันครึ่งปีหลังครึ่งปี ล่าสุด จ่อ 6 กองทุนใหม่ หลังดีสินทรัพย์โตอีก 4,000 ล้านบาท ประเดิมเข็นพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์โรงแรม 2 กองทุน ซื้อโรงแรมสมุยและพัทยา การันตี 5 ปีผลตอบแทน 7.5% ตามมาติด ๆ ทริกเกอร์ 10% - เอฟไอเอฟทองคำ และกองทุนเกาหลีแบบแมชชิ่งฟันด์
นายไววิทย์ อุทัยเฉลิม กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ซิมิโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ขณนี้มูลค่าเอยูเอ็มของบริษัทมีอยู่ประมาณ 3,200 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่รายได้ที่เข้ามาจะเป็นกองทุนฟิกอันคัม กับกองทุนที่โลโอเวอร์ เป็นหลัก และหลังจากนี้เป็นต้นไปจนถึงสิ้นปี บริษัทมีแผนที่จะออกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 2 - 3 กองทุน โดยกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่จะเปิดเป็นประเภทโรงแรมที่สมุย มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ขณะนี้กำลังอยุ่ในระหว่างรอประเมินราคา ซึ่งคาดว่าถ้าประเมินเสร็จในวันที่ 15 กันยายน 2554 และคาดว่าจะสามารถไอพีโอได้ในช่วงเดือนพฤศจิกายน หรือธันวาคม นี้
ส่วนอีกกองทุนหนึ่งเป็นกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงแรม เช่นเดียวกัน อยู่ที่จังหวัด ชลบุรี มูลค่ากองทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท และอีกกองทุนเป็นประเภทออฟฟิตบิวดิ้งรวมพล่าซ่า และรวมเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ อยู่ในสถานที่เดียวกัน แถวย่านพหลโยธิน มูลค่าโครงการประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์หลังนี้ยังอยู่ในระหว่างการเจรจาตกลงกันอยู่
“พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์การันตี 5 ปี ภายในปีนี้เราจะลุยเป็นไทร์วัน ส่วนผลตอบแทนประมาณการไว้ที่ประมาณ 7.5 - 8% ในรูปแบบของฟรีโฮลด์ ซึงในสิ้นปีนี้บริษัทตั้งเป้าการเติบโตเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 4,000 ล้านบาท รวมกับของเก่าที่มีอยู่ 3,200 ล้านบาท สิ้นปีบริษัทต้องทำยอดให้ได้ถึง 7,000 ล้านบาท” นายไววิทย์ กล่าว
นายไววิทย์ กล่าวต่อไปว่า บริษัทเตรียมแผนที่จะออกกองทุนรวมเอฟไอเอฟทองคำ อีก 1 กองทุน เพราะมองว่า ในช่วงสิ้นปีนี้ราคาทองคำน่าจะไปแตะอยู่ที่ 2,000 ดอลล่าร์สหรัฐต่อออนซ์ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังย่ำแย่ บวกกับยุโรปที่กำลังมีปัญหาและกำลังจะลามมาที่ อิตาลี และสเปน จึงมองเป็นโอกาสที่ดีต่อการลงทุนทองคำในช่วงนี้ นอกจากนี้แล้วบริษัทเตรียมที่จะออกกองทุนทริกเกอร์ 10% เพิ่มขึ้นอีก 1 กองทุน ซึ่งกองทุนดังกล่าวได้รับการอนุมัติจาก ก.ล.ต. เรียบร้อยแล้ว และกำลังรอดูจังหวะในการออกกองทุนอยู่ ขณะเดียวกันบริษัทเตรียมออกกองทุนรวมเกาหลีใต้ประเภทเแมสชิงฟันด์ อีก 1 กองทุน ซึ่งมีมูลค่าโครงการประมาณ 1,000 ล้านบาท
“ทองคำมองที่สิ้นปีน่าจะอยู่ที่ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือน่าจะแต่ะประมาณ 30,000 บาท ยิ่งเศรษฐกิจสหรัฐ รวมถึงยุโรปอีก ซึ่งกำลังจะลามไปอิตาลี กับสเปน เริ่มมีเอฟเฟคโชว์ออกมา และสกุลเงิน ถ้าเงินสหัรฐอ่อนทองขึ้น ถ้าเงินสหัรฐแข็งทองลง และในเอเชียต่อจากนี้ไปจะเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจ เพราะสหรัฐและยุโรปย่ำแย่ด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะจีนกับอินเดีย ไม่เกิน 10 ปีสหรัฐต้องกลัวจีน เพราะการเติบโตด้านจีดีพีมีอย่างต่อเนื่อง” นายไววิทย์ กล่าว
นายไววิทย์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า หลักการทำการตลาดของบริษัท ยังคงเน้นขายกองทุนผ่านตัวแทนจำหน่าย และสร้างเซลล์ขึ้นมาเอง ในการเสนอขายกองทุนต่าง ๆ นอกจากนี้แล้วแผนการตลาดในปีหน้าบริษัทเตรียมรุกด้านมีเดียร์มากยิ่งขึ้น เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้ารายใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้นด้วย
