xs
xsm
sm
md
lg

KTAMคว้าเค้กสบน.4หมื่นล้าน รุกหนักตลาดภูธรดันเอยูเอ็มโต20%

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บลจ.กรุงไทย ยังมั่นใจสิ้นปี54 AUM ยังเติบโตได้ 20% ปลื้มเจาะฐานลูกค้าต่างจังหวัดเพิ่มอีก 47% หลังลูกค้าในก.ท.ม.เริ่มนิ่ง เผยครึ่งปีที่เหลือเตรียมส่งโปรดักส์ใหม่เช่น sector fund และ ETF เพิ่มทางเลือกให้นักลงทุน ล่าสุดได้รับเลือกจากสบน.บริหารกองทุน 40,000 ล้านบาท

นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตัวเลขล่าสุดของทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารจัดการ(AUM)ของเรา ณ ปัจจุบันเติบโตประมาณ 8-9% ซึ่งภาพรวมการเติบโตของทั้งอุตหสกรรมกองทุนรวมโตเพียงแค่ 0.22% อย่างไรก็ตามเราตั้งเป้าการเติบโตสิ้นปี 2554 อยู่ที่ 20% จาก 320,000 ล้านบาท โดยการเติบโตของบลจ.กรุงไทยนั้นแบ่งเป็นธุรกิจกองทุนรวมเติบโตประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท ซึ่งกองทุนรวมตราสารหนี้ที่ทยอยครอบอายุไม่ว่าจะเป็นกองทุนพันธบัตรเกาหลี หรือกองทุนพันธบัตรต่างๆทางบลจ.สามารถดึงเม็ดเงินดังกล่าวกลับเข้ามาลงทุนต่อได้เกือบทั้งหมด ซึ่งในแต่ละเดือนเราจะมีกองทุนตราสารหนี้เปิดขายประมาณ 6 กองโดยประมาณ

นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมาเราก็มีกองทุนอสังหาริมทรัพย์เข้ามาเสริม AUM อีก 12,000 ล้านบาท โดยบลจ.กรุงไทยมีแผนที่จะทำกองทุนอสังหาฯเพิ่มอีกซึ่งกำลังอยู่ในช่วงการพิจราณาหาสินทรัพย์อยู่ ขณะเดียวกันทางกลุ่มบริษัท ทีซีซี แลนด์ รีเทล จำกัด ก็อยากทำกองทุนอสังหาฯประเภทโรงแรมเพิ่มอีกด้วย

ขณะที่กองทุนส่วนบุคคลนั้น ในช่วงเดือนตุลาคม ที่จะถึงนี้บลจ.กรุงไทยได้รับบริหารสินทรัพย์ประมาณ 40,000 ล้านบาทจากสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ หรือสบน. ในระหว่างปี 2554-2556 ส่วนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพก็เติบโตประมาณ 15,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาบลจ.กรุงไทยประสบความสำเร็จในการขยายฐานลูกค้าต่างจังหวัดผ่านสาขาธนาคารกรุงไทย หลังจากที่เราวางแผนงานไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยเราได้ลูกค้าต่างจังหวัดเพิ่มประมาณ 47% เทียบกับปีที่แล้วอยู่ที่ 39% ซึ่งฐานลูกค้าในกรุงเทพฯนั้นค่อนข้างจะนิ่งพอสมควร
 
นายสมชัย กล่าวต่อว่า ในส่วนครึ่งปีหลังที่เหลือบลจ.มีแผนจะเปิดขายกองทุน sector fund อีก 1 กองทุนซึ่งจะเป็นกองทุนFix income ที่เน้นลงทุนตราสารหนี้ทั่วโลกนอจากนี้เราจะเปิดขายกองทุน ETF เพิ่มอีก 1 กองก่อนสิ้นปี 2554 ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการพิจาณาสินทรัพย์อยู่

สำหรับกองทุนเปิดเคแทม โกลด์ อีทีเอฟ แทร็กเกอร์ สามารถระดมทุนได้สูงถึงกว่า 577 ล้านบาท มีนักลงทุนสนใจเข้ามาลงทุนประมาณ 1,280 ราย โดยมีราคาเปิดขายไอพีโออยู่ที่ 2.28 บาท ซึ่งราคาเปิดขายในตลาดหลักทรัพย์ครั้งแรกอยู่ที่ 2.63 บาท อย่างไรก็ตามคาดว่าจะมีผู้ลงทุนสนใจลงทุนเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้ลงทุนจะได้รับความสะดวกคล่องตัวในการลงทุนที่เหนือกว่ากองทุนรวมทองคำทั่วไป ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถส่งคำสั่งซื้อขายกองทุนผ่านบริษัทหลักทรัพย์ได้ทุกแห่งทั่วประเทศ โดยใช้ชื่อย่อในตลาดหลักทรัพย์ว่า GLD

สเตทสตรีทโกลบอล แอดไวเซอร์ส เอเซีย ลิมิเต็ด ผู้แทนของกองทุนอีทีเอฟทองคำของ SPDR? ให้ความเห็นว่า ความไม่แน่นอนของตลาดและความกังวลที่มีมากขึ้นเกี่ยวกับหนี้สาธารณะในสหรัฐอเมริกาและประเทศในแถบยุโรป ส่งผลให้มีความต้องการลงทุนในทองคำเพิ่มมากขึ้นเห็นได้จากราคาทองคำที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ในช่วงเวลาที่มีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองและเมื่อสินทรัพย์อื่นๆมีมูลค่าลดลงอย่างรวดเร็ว ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าในตนเอง ทำให้ทองคำเป็นเครื่องมือกระจายความเสี่ยงที่ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุน กองทุนอีทีเอฟทองคำของ SPDR? นั้นนับเป็นช่องทางการลงทุนในทองคำที่แม่นยำ โปร่งใส และมีประสิทธิภาพโดยกองทุนได้จดทะเบียนครั้งแรกในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กในเดือนพฤศจิกายนของปี 2547 และเข้าซื้อขายในตลาดหุ้น เอ็นวายเอสอี อาร์คา ตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2550 กองทุนอีทีเอฟทองคำของ SPDR? นับเป็นหนึ่งในกองทุนอีทีเอฟที่เติบโตรวดเร็วที่สุดกองหนึ่งของสหรัฐฯ และเป็นกองทุนอีทีเอฟที่มีขนาดใหญ่ เป็นอันดับสองของโลกในขณะนี้ โดยกองทุนอีทีเอฟทองคำของ SPDR? ในปัจจุบันมีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ โตเกียวและฮ่องกง

นายจูเลียน ลิว หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานบริษัทโพลาริส อินเตอร์เนชั่นแนล ซิเคียวริตี้ลส์ อินเวสเมนท์ ทรัสต์ ประเทศไต้หวัน กล่าวว่า บลจ. กรุงไทยได้จดทะเบียนกองทุนรวมอีทีเอฟต่างประเทศกองทุนแรกของประเทศไทยไปก่อนหน้านี้คือ กองทุนเปิดดับเบิลยูไอเอสอี เคแทม ซีเอสไอ 300 ไชน่า แทร็กเกอร์ ส่งผลให้ผู้ลงทุนไทยสามารถลงทุนในต่างประเทศได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งนับเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญของตลาดทุนไทยที่มีทั้งกองทุนอีทีเอฟที่ลงทุนในต่างประเทศและกองทุนอีทีเอฟที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งนี้ การเปิดตัวของกองทุนรวมอีทีเอฟทองคำในครั้งนี้ จะช่วยเติมเต็มให้การจัดสัดส่วนการลงทุนของผู้ลงทุนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น และด้วยกฏระเบียบของไทยที่มีแนวโน้มเปิดเสรีมากยิ่งขึ้น เชื่อว่าจะมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆที่หลากหลายเพิ่มขึ้นในตลาด

"เราเชื่อว่าอาจไม่มีช่วงเวลาการออกกองทุนอีทีเอฟทองคำที่เหมาะสมไปกว่านี้อีกแล้ว ในภาวะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯและแนวโน้มเศรษฐกิจมหภาคของสหรัฐฯมีแนวโน้มชะลอตัวลง ความต้องการทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงของตลาดเริ่มเป็นที่ต้องการมากขึ้น ผมเชื่อว่าความต้องการลงทุนในทองคำจะยังมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และผลักดันให้มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนทองคำของบลจ. กรุงไทย เพิ่มขึ้นอีกในอนาคต"นายจูเลียนกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น