xs
xsm
sm
md
lg

PVDคึกหลังรัฐหนุนการออม ปีนี้ดันเอ็นเอวีขยับเพิ่มขึ้นอีก12-14%

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเผย กองทุนสำรองเลี้ยงชีพขยายตัวเพิ่มเอ็นเอวีขยับขึ้นมาที่ประมาณร้อยละ 12-14 คาดบลจ.ใช้กลยุทธแข่งขันด้านราคา เพื่อรักษาฐานลูกค้าและส่วนแบ่งตลาด ชี้ปีหน้า ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 - 4 หลังรัฐบาลชุดใหม่ปรับขึ้นเงินเดือนและค่าจ้างของแรงงาน

รายงานจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า จากการสนับสนุนของทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อมุ่งเน้นส่งเสริมการออมเพื่อยามชราหรือยามเกษียณนั้น ส่งผลขับเคลื่อนให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) จำนวนนายจ้างและสมาชิกกองทุน รวมทั้งจำนวนเงินนำส่งเข้ากองทุนขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แนวโน้มอุตสาหกรรมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในครึ่งหลังของปี 2554 ก็ยังคงเป็นโอกาสสำหรับบริษัทจัดการหลายๆ แห่งที่จะเข้าแข่งขันเพื่อเป็นผู้บริหารเงินในกองทุน

โดยเฉพาะกองทุนที่มีมูลค่าเงินกองทุนขนาดใหญ่ อาทิ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพขององค์กรรัฐวิสาหกิจ ซึ่งจะมีมูลค่าการครบกำหนดอายุสัญญา 3,000-5,000 ล้านบาท ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีผลต่อมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของธุรกิจในภาพรวมก็ตาม ขณะที่การเพิ่มขึ้นของจำนวนเงินนำส่งสะสมจากทั้งลูกจ้างและนายจ้างในระหว่างเดือน รวมทั้งการปรับขึ้นอัตราเงินเดือนและการจ้างงานระหว่างปีน่าจะเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิในภาพรวมยังคงเติบโตต่อเนื่อง

ทั้งนี้ จากปัจจัยดังกล่าวผนวกกับแรงหนุนจากผลตอบแทนของสินทรัพย์ของกองทุนที่เข้ามาในแต่ละปี ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่าในปี 2554 นี้ อัตราการขยายตัวของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะขยับขึ้นมาที่ประมาณร้อยละ 12.0-14.0 เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2553 หลังจากขยายตัวร้อยละ 11.6 ในเดือนพฤษภาคม 2554 เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2553 และร้อยละ 11.6 ณ สิ้นปี 2553 ขณะที่คาดว่าการแข่งขันด้านราคา (Management Fee) จะยังเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักที่บริษัทจัดการใช้เพื่อรักษาฐานลูกค้าและส่วนแบ่งตลาด นอกเหนือไปจากการแสวงหาผลิตภัณฑ์การลงทุนรูปแบบใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ส่วนปัจจัยที่ยังคงต้องติดตามซึ่งอาจส่งผลต่อเนื่องมายังอุตสาหกรรมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในปี 2555 ได้แก่ ผลด้านนโยบายของภาครัฐภายใต้รัฐบาลชุดใหม่ โดยเฉพาะการปรับขึ้นเงินเดือนและค่าจ้างของแรงงาน ซึ่งแม้ว่าจะส่งผลให้รายได้ต่อเดือนของลูกจ้างทั้งภาครัฐและเอกชนปรับเพิ่มขึ้นและส่งผลดีต่อความสามารถในการส่งเงินสะสมจากฝั่งลูกจ้าง แต่ก็อาจกระทบกับต้นทุนการดำเนินงานของฝั่งนายจ้างจนอาจลดแรงจูงใจและความสามารถในการส่งเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้เช่นกัน

ทั้งนี้ ในเบื้องต้น ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ในกรณีที่การปรับขึ้นอัตราเงินเดือนเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลชุดใหม่ จำนวนเงินนำส่งทั้งจากฝ่ายลูกจ้างและนายจ้างที่เพิ่มขึ้น จากปัจจัยนี้โดยลำพัง จะผลักดันให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2-4 เมื่อเทียบกับการเพิ่มขึ้นของ NAV ในกรณีที่อัตราเงินเดือนเพิ่มตามปกติ
กำลังโหลดความคิดเห็น