บลจ.แอสเซท พลัส ประเมินดอกเบี้ยขึ้นรับนโยบายรัฐบาลใหม่ คาดสิ้นปีนี้ ได้เห็นที่ระดับ 4% พร้อมแนะนำนักลงทุน จัดพอร์ตลุยตราสารหนี้ระยะสั้น 3-6 เดือน เพื่อไม่ให้เสียโอกาสดอกเบี้ยขึ้น ล่าสุด ชง 4 กองทุนโรลโอเวอร์ รับการลงทุนรอบใหม่
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการขายและการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แอสเซท พลัส จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากการเลือกตั้งทั่วไปผ่านพ้นไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้ปัจจัยทางการเมืองเริ่มคลี่คลาย โดยมีความชัดเจนของพรรคการเมืองแกนนำ และนโยบายบายของพรรคที่เน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ ซึ่งน่าจะส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อของไทยที่จะปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ตอบรับแนวนโยบายดังกล่าว และคำนึงถึงความกังวลทางด้านเงินเฟ้อ โดยล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% สู่ระดับ 3.25% และส่งสัญญาณทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายมีโอกาสปรับขึ้นถึงระดับ 4% ภายในปีนี้ จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น บริษัทจึงยังคงแนะนำให้ผู้ลงทุน เน้นลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นๆ ประมาณ 3-6 เดือน เพื่อไม่ให้เสียโอกาสผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะถัดไป
ทั้งนี้ สำหรับเดือน กรกฎาคม นี้ บริษัทฯ มีกองทุนตราสารหนี้ในประเทศ ประเภทเสนอขายเป็นรอบระยะเวลา (Rollover) มาเสนอขายทั้งหมด 4 กองทุน เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุน โดยในวันที่ 20 กรกฎาคม บริษัทฯ จะ rollover กองทุนเปิดแอสเซทพลัสแอ็คทีฟตราสารหนี้ 9 (ASP-ACFIXED9) ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ในประเทศที่เปิดเสนอขายเป็นรอบระยะเวลา โดยรอบการลงทุนนี้กองทุนจะเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย ในสัดส่วนประมาณ 65% และส่วนที่เหลือจะลงทุนในตั๋วแลกเงินของธนาคารแลนด? แอนด?เฮาส? (LHB) และธนาคารทิสโก? (TISCO) อายุประมาณ 3 เดือน โดยคาดว่าสามารถให้ผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายได้อยู่ที่ 3.00% ต่อปี
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้มีการปรับนโยบายเน้นลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศมากขึ้น โดยได้มีการแก้ไขโครงการกองทุนเปิดแอ็คทีฟเอฟไอเอฟ 6 (ACFIF6) ซึ่งจะครบรอบ Rollover ใหม่ในวันที่ 21 กรกฎาคม นี้ จากกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ เป็นกองทุนตราสารหนี้ในประเทศ เพื่อให้กองทุนสามารถดำรงสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศได้อย่างเหมาะสมกับภาวะการลงทุน และเปลี่ยนชื่อเป็น กองทุนเปิดแอสเซทพลัสตราสารหนี้ทวีทรัพย์ 5 (ASP-TFIXED5) ซึ่งจะมีผลตั้งแต่รอบลงทุนถัดไปตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคม นี้
โดยกองทุน ACFIF6 จะลงทุนในลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ในสัดส่วนประมาณ 80% และตั๋วแลกเงินธนาคารเกียรตินาคิน (KK) ในสัดส่วนประมาณ 20% โดยกองทุนมีรอบระยะเวลาประมาณ 6 เดือน โดยคาดว่าสามารถให้ผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายได้อยู่ที่ 3.25% ต่อปี
ทั้งนี้ สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการมีสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทที่มีอัตราการเจริญเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีขึ้นกว่าเงินฝาก ในวันที่ 25 กรกฎาคม บริษัทฯ จะ Rollover กองทุนเปิดแอสเซทพลัสทวีเงินออม 1 (ASP-MMF1) ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ในประเทศ ที่เปิดเสนอขายทุกรอบ 3 เดือน โดยรอบการลงทุนนี้ จะลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และตราสารหนี้เอกชนคุณภาพ เช่น ตั๋วแลกเงิน ของ บมจ. อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ลีส (AYCAL) บมจ.เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ (AP) บมจ. บัตรกรุงไทย (KTC) และบจ. เอเซียเสริมกิจ ลีสซิ่ง (ASK) โดยคาดว่าสามารถให้ผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายได้อยู่ที่ 3.10% ต่อปี
สำหรับผู้ลงทุนที่ชื่นชอบกองทุนความเสี่ยงต่ำ และคุ้มครองเงินต้น ในระยะเวลาสั้นๆ ในวันที่ 26 กรกฎาคม บริษัทฯ จะ rollover กองทุนเปิดพันธบัตรคุ้มครองเงินต้น 3M1 (GBF-3M1) ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล 100% อายุ 3 เดือน โดยคาดว่าสามารถให้ผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายได้อยู่ที่ 2.95% ต่อปี
นางสาวจารุลักษณ์กล่าวว่า กองทุน Rollover ทั้ง 4 กองทุนมีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ สามารถสร้างโอกาสผลตอบแทนในระดับที่ดี และมีรอบการลงทุนประมาณ 3-6 เดือน ซึ่งเป็นระยะเวลาการลงทุนที่เหมาะสม ตามช่วงการปรับตัวของดอกเบี้ยขาขึ้น
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการขายและการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แอสเซท พลัส จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากการเลือกตั้งทั่วไปผ่านพ้นไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้ปัจจัยทางการเมืองเริ่มคลี่คลาย โดยมีความชัดเจนของพรรคการเมืองแกนนำ และนโยบายบายของพรรคที่เน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ ซึ่งน่าจะส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อของไทยที่จะปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ตอบรับแนวนโยบายดังกล่าว และคำนึงถึงความกังวลทางด้านเงินเฟ้อ โดยล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% สู่ระดับ 3.25% และส่งสัญญาณทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายมีโอกาสปรับขึ้นถึงระดับ 4% ภายในปีนี้ จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น บริษัทจึงยังคงแนะนำให้ผู้ลงทุน เน้นลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นๆ ประมาณ 3-6 เดือน เพื่อไม่ให้เสียโอกาสผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะถัดไป
ทั้งนี้ สำหรับเดือน กรกฎาคม นี้ บริษัทฯ มีกองทุนตราสารหนี้ในประเทศ ประเภทเสนอขายเป็นรอบระยะเวลา (Rollover) มาเสนอขายทั้งหมด 4 กองทุน เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุน โดยในวันที่ 20 กรกฎาคม บริษัทฯ จะ rollover กองทุนเปิดแอสเซทพลัสแอ็คทีฟตราสารหนี้ 9 (ASP-ACFIXED9) ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ในประเทศที่เปิดเสนอขายเป็นรอบระยะเวลา โดยรอบการลงทุนนี้กองทุนจะเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย ในสัดส่วนประมาณ 65% และส่วนที่เหลือจะลงทุนในตั๋วแลกเงินของธนาคารแลนด? แอนด?เฮาส? (LHB) และธนาคารทิสโก? (TISCO) อายุประมาณ 3 เดือน โดยคาดว่าสามารถให้ผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายได้อยู่ที่ 3.00% ต่อปี
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้มีการปรับนโยบายเน้นลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศมากขึ้น โดยได้มีการแก้ไขโครงการกองทุนเปิดแอ็คทีฟเอฟไอเอฟ 6 (ACFIF6) ซึ่งจะครบรอบ Rollover ใหม่ในวันที่ 21 กรกฎาคม นี้ จากกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ เป็นกองทุนตราสารหนี้ในประเทศ เพื่อให้กองทุนสามารถดำรงสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศได้อย่างเหมาะสมกับภาวะการลงทุน และเปลี่ยนชื่อเป็น กองทุนเปิดแอสเซทพลัสตราสารหนี้ทวีทรัพย์ 5 (ASP-TFIXED5) ซึ่งจะมีผลตั้งแต่รอบลงทุนถัดไปตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคม นี้
โดยกองทุน ACFIF6 จะลงทุนในลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ในสัดส่วนประมาณ 80% และตั๋วแลกเงินธนาคารเกียรตินาคิน (KK) ในสัดส่วนประมาณ 20% โดยกองทุนมีรอบระยะเวลาประมาณ 6 เดือน โดยคาดว่าสามารถให้ผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายได้อยู่ที่ 3.25% ต่อปี
ทั้งนี้ สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการมีสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทที่มีอัตราการเจริญเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีขึ้นกว่าเงินฝาก ในวันที่ 25 กรกฎาคม บริษัทฯ จะ Rollover กองทุนเปิดแอสเซทพลัสทวีเงินออม 1 (ASP-MMF1) ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ในประเทศ ที่เปิดเสนอขายทุกรอบ 3 เดือน โดยรอบการลงทุนนี้ จะลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และตราสารหนี้เอกชนคุณภาพ เช่น ตั๋วแลกเงิน ของ บมจ. อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ลีส (AYCAL) บมจ.เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ (AP) บมจ. บัตรกรุงไทย (KTC) และบจ. เอเซียเสริมกิจ ลีสซิ่ง (ASK) โดยคาดว่าสามารถให้ผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายได้อยู่ที่ 3.10% ต่อปี
สำหรับผู้ลงทุนที่ชื่นชอบกองทุนความเสี่ยงต่ำ และคุ้มครองเงินต้น ในระยะเวลาสั้นๆ ในวันที่ 26 กรกฎาคม บริษัทฯ จะ rollover กองทุนเปิดพันธบัตรคุ้มครองเงินต้น 3M1 (GBF-3M1) ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล 100% อายุ 3 เดือน โดยคาดว่าสามารถให้ผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายได้อยู่ที่ 2.95% ต่อปี
นางสาวจารุลักษณ์กล่าวว่า กองทุน Rollover ทั้ง 4 กองทุนมีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ สามารถสร้างโอกาสผลตอบแทนในระดับที่ดี และมีรอบการลงทุนประมาณ 3-6 เดือน ซึ่งเป็นระยะเวลาการลงทุนที่เหมาะสม ตามช่วงการปรับตัวของดอกเบี้ยขาขึ้น