นายกสมาคม บลจ. ชี้ เศรษฐกิจไทยยังโตได้ระดับ 5% ในอีก 2 ปีข้างหน้า พร้อมจับเรื่องเงินเฟ้อที่จะมาจากนโยบายของภาครัฐในช่วงไตรมาส 3 นี้ ด้าน ผู้จัดการกองทุน ชี้ หุ้นเอเชียครึ่งปีหลังน่าจะปรับตัวได้ดี ขณะที่เงินเฟ้อจีนเริ่มลดลง
นางวรวรรณ ธาราภูมิ นายกสมาคมบริษัทจัดการกองทุน กล่าวว่า เศรษฐกิจของไทยในอีก 2 ปีข้างหน้ายังเติบโตต่อไปได้อีกในระดับ 5% โดยในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาภาคการเกษตรของไทยในครึ่งแรกยังดี และคาดว่าในปีนี้น่าจะเติบโตได้ใระดับ 7% ถ้าไม่เกิดภัยธรรมชาติ ขณะที่ในต่างประเทศนั้น เศรษฐกิจของสหรัฐฯและยุโรปยังมีปัญหา ซึ่งการปรับลดเครดิตของประเทศโปรตุเกสล่าสุดก็มีผลกระทบต่อตลาดทั่วโลก ซึ่งก็ยังคงเป็นปัญหาของประเทศในยูโรโซนอยู่ ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ นั้นคาดว่าไม่น่าจะมีการใช้ QE3 ต่อแต่จะใช้มาตรการอื่นๆแทน
"ดังนั้นภาพรวมของเศรษฐกิจในตะวันตกนั้นยังคงมีปัญหาและยังไม่ได้แก้ง่ายๆ ขณะที่เอเชียแม้ว่ายังมีความกัลวลเรื่องของจีน แต่เชื่อว่าทางรัฐบาลจีนจะแก้ปัญหาได้ และมองว่าเศรษฐกิจจีนยังคงเป็นหัวหอกของการลงทุนในเอเชีย" นางวรวรรณ กล่าว
ทั้งนี้หลังจากการเลือกตั้งและได้รัฐบาลใหม่ แล้วคาดว่านโยบายต่างๆของรัฐบาล น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงต่อประเทศไทยค่อนข้างมาก และสิ่งที่สำคัญคือเรื่องการเปิดการค้าเสรีอาเซียนซึ่งมองว่าไทยยังล้าหลังในการให้ความเข้าใจกับภาคธุรกิจ ซึ่งรัฐบาลควรให้ความรู้ความเข้าใจกับภาคธุรกิจในเรื่องการลงทุน เพราะที่ผ่านมาเศรษฐกิจของไทยยังเดินหน้าเพราะภาคเอกชนเป็นหลัก ขณะเดียวกันสิ่งที่ต้องจับตามอง การประชุม กนง. ที่จะถึงนี้ว่าจะมีทิศทางในเรื่องของภาวะเงินเฟ้อที่จะเกิดขึ้น และรัฐบาลจะจัดการในเรื่องนี้อย่างไร แต่คาดว่าน่าจะมีการปรับขึ้นอัตรดอกเบี้ยอีก
นอกจากนี้ยังเรียกร้องถึงเรื่องที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเคยหาเสียงไว้ในเรื่องของการรวมตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า เข้ากับตลาดหลักทรัพย์ด้วยว่า หากมีการรวมกันแล้วน่าจะเป็นประโยชน์ต่อรัฐบาลในการดำเนินนโยบายต่างๆ
ขณะที่นโยบายของรัฐบาลในเรื่องของการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทนั้น นายกสมาคมกล่าว อาจจะส่งผลกระทบในด้านต่อภาคอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสากรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิค และภาคการเกษตร ขณะเดียวกันอาจเร่งให้เกิดเงินเฟ้อได้ในช่วงไตรมาสที่ 3 ซึ่งต้องดูว่ารัฐบาลจะจัดการอย่างไร
นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการบริหาร บลจ.ฟินันซ่า กล่าวว่า ตลาดหุ้นเอเชียในช่วงครึ่งหลังของปี54 น่าจะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น เพราะนักลงทุนต่างชาติเองก็สนใจจะกลับเข้ามาลงทุนจากเงินเฟ้อที่น่าจะปรับตัวขึ้นมาถึงจุดสูงสุดแล้ว ในจีนเองก็คาดว่าเงินเฟ้อในช่วงครึ่งหลังของปี54 น่าจะปรับตัวลดลง ของไทยเองดอกเบี้ยนโยบายก็น่าจะปรับขึ้นมาสู่ระดับ 3.5% เรียกว่าใกล้จะถึงจุดสูงสุดแล้ว ในส่วนของดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารเองก็กำลังขยับปรับตัวขึ้นและคาดว่าน่าจะได้เห็นตัวเลขอัตราผลตอบแทนที่แท้จริง (เงินฝาก - เงินเฟ้อ) กลับมาเป็นบวกอีกครั้ง โดยภาพรวมของตลาดหุ้นไทยและในเอเชียจึงน่าจะปรับตัวดีขึ้น ตลาดหุ้นจีน เกาหลีใต้ ก็ปรับตัวดีขึ้นเช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทยในช่วง 3 วันที่ผ่านมา จะเห็นได้จากเงินทุนต่างชาติที่ไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง โดยค่าเงินบาทเองจากที่เคยอ่อนไปทะลุ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ตอนนนี้ก็กลับมาที่ระดับประมาณ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐอีกครั้ง
“ส่วนตลาดหุ้นในช่วงครึ่งหลังของปีจะปรับตัวได้มากแค่ไหนส่วนหนึ่งคงอยู่ที่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐด้วย ถ้ามีมาตรการใหม่ออกมาเพิ่มสภาพคล่องในระบบโอกาสที่ตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นแรงก็ยังมี แต่ถ้าไม่มีมาตรการใหม่มากกระตุ้นการปรับตัวขึ้นในระดับปกติประมาณ 10% ก็ยังมีโอกาสให้เห็นอยู่ เพราะนโยบายของภาครัฐเองก็ชัดเจนว่าต้องการเห้นค่าเงินบาทแข็งค่าในอนาคตเพื่อที่จะส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ด้วย”
ด้านนายศุภกร สุนทรกิจ กรรมการผู้จัดการ บลจ. นครหลวงไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจในปีนี้น่าจะเติบโตได้ประมาณ 4.0% จากนโยบายกกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยเงินเฟ้อยังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อเนื่องถือเป็นปัจจัยลบต่อเรื่องของการลงทุน โดยแนวโน้มของดอกเบี้ยยังปรับตัวขึ้นได้อีกเล็กน้อยจึงยังแนะนำให้เลี้ยงการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวออกไปก่อนและให้เน้นลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นแทน แต่มองไปในอีกประมาณ 3 เดือนข้างหน้า ดอกเบี้ยนโยบายน่าจะปรับตัวขึ้นสู่จุดสูงสุดถึงตอนนั้นนักลงทุนอาจจะหันกลับมาลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตามในช่วงที่ภาวะเสรษฐกิจโลกยังมีความผันผวนการกระจายความเสี่ยงจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ปัจจุบันยังไม่ได้ให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงขึ้นแต่ประการใด เพราะหลังจากมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE-2) สิ้นสุดลง คงทำให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกมีความผันผวนมากขึ้น
“ในกรณีการแก้ไขปัญหาของกรีซเองก้คงต้องติดตามดูกันต่อไปว่าในอีก 3 เดือนข้างหน้า มาตรการต่างๆ ที่มีออกมาดูดีนั้น ในทางปฏิบัติจะสามารถทำได้จริงมากน้อยเพียงไหน ดังนั้นในช่วงต่อจากนี้ไปความผันผวนยังคงมีแน่ๆ”