บลจ.ทิสโก้คาดหุ้นจีนยังน่าสนใจ ครึ่งหลังปีนี้ผลตอบแทนดีดกลับ รับอานิสงส์เศรษฐกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งจากการบริโภคในประเทศ และนักลงทุนเริ่มคลายกังวลจากอัตราเงินเฟ้อ มั่นใจไม่เกิดฟองสบู่ เหตุภาคอสังหาจีนแกร่ง หนี้สินต่อรายได้ประชากรยังต่ำ
รายงานจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศจีนในปีนี้ คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 9-10% โดยถึงแม้อัตราการเติบโตดังกล่าวจะต่ำกว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับสูงและเชื่อว่าจะเป็นไปอย่างมีเสถียรภาพมากขึ้น หลังจากในอดีตจีนพึ่งพิงการส่งออกเป็นหลัก แต่จากนี้ สืบเนื่องจากสภาพความเป็นอยู่และรายได้ประชากรที่ดีขึ้น ทำให้เชื่อว่าการบริโภคในประเทศจะเป็นอีกปัจจัยหลักที่จะเป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจของประเทศ และส่งผลให้จีนพึ่งพาเศรษฐกิจโลกน้อยลง
ทั้งนี้ ทางการของจีนได้มีการตั้งเป้าหมาย เป้าหมายอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไว้ที่ 8% และต้องการคุมอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยที่ 4% และต้องการรักษาระดับการเปลี่ยนแปลงของสภาพคล่องในระบบ(M2) ไว้ที่ 16% ซึ่งเมื่อพิจารณาจากตัวเลขเป้าหมายข้างต้นแล้ว พบว่าตัวเลขGDP และตัวเลขเงินเฟ้อเป้าหมาย ยังต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 9.5% และ 4.5% ตามลำดับ
โดยการที่ภาครัฐตั้งเป้าหมายการเติบโตและอัตราเงินเฟ้อไว้ในระดับต่ำ ทำให้ทาง บลจ. มีความเห็นว่ารัฐบาลจะดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจโดยมุ่งเน้นการควบคุมเงินเฟ้อเป็นหลัก โดยเชื่อว่าการที่รัฐบาลตั้งเป้าการเติบโตที่ต่ำเพียง 8% นั้น จะช่วยลดความกดดันของภาครัฐในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของจีนในปีนี้
ส่วนการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ บลจ.ทิสโก้คาดว่า ประมาณการอัตราเงินเฟ้อของจีนในปีนี้เฉลี่ยน่าจะอยู่ที่ 5% สูงกว่าที่ตลาดคาดที่ 4.5% เล็กน้อย โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะปรับไปสู่ระดับสูงสุดที่ 6% ในช่วงเดือนมิถุนายน และจะค่อยๆ ชะลอตัวลง แต่ยังคงยืนอยู่ในระดับสูงจนถึงปลายปี อย่างไรก็ตาม มีความเห็นว่าอัตราเงินเฟ้อที่ระดับ 5% นั้น จะไม่ส่งผลลบต่อภาพรวมเศรษฐกิจมากนัก เนื่องจากเมื่อพิจารณาประกอบกับรายได้ประชากรที่เพิ่มขึ้น โดยเห็นได้จากการปรับขึ้นค่าแรงเฉลี่ยของประชากรที่ปรับชึ้นกว่า 10%
อย่างไรก็ดีเชื่อว่ายังคงมีความเสี่ยงที่เงินเฟ้ออาจออกมาสูงกว่าที่คาด หากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยืนเหนือ 110 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เป็นเวลานาน
ทั้งนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่า จีนจะยังคงใช้ Reserve Requirement Ratio (RRR) เป็นเครื่องมือหลักในการดูดซับสภาพคล่อง และลดความร้อนแรงของการเติบโตของสินเชื่อในระบบ โดยล่าสุดธนาคารกลางได้ประกาศปรับเพิ่ม RRR สำหรับธนาคารขนาดใหญ่มาอยู่ที่ 20% ซึ่งถือว่าสูงที่สุดที่เคยใช้มาในอดีต ในเดือนตุลาคมปี 2010 ธนาคารกลางได้มีการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ โดยในปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอยู่ที่ 3%
นอกจากนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะยังคงดำเนินต่อไป โดยคาดว่า ณ สิ้นปีอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงจะเท่ากับ 4% หรือเท่ากับกับอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายของภาครัฐ ทั้งนี้ มีความเห็นว่าการปรับใช้ทิศทางดอกเบี้ยนโยบายที่เข้มงวดขึ้นนั้น เป็นการปรับเพิ่มเพื่อไปสู่ระดับปกติก่อนวิกฤตเท่านั้น ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อจะชะลอการเติบโตของภาคธุรกิจ (Normalization, Not a Tightening) สำหรับการปรับขึ้น RRR นั้น ให้ติดตามการเติบโตของตัวเลข M2 เป็นหลัก ซึ่งตัวเลขล่าสุดเดือนกุมภาพันธ์ ปรับลดมาอยู่ที่ระดับ 15.7% ต่ำกว่าเป้าของภาครัฐที่ 16% หากตัวเลขนี้ยังสามารถทรงตัวอยู่ในระดับนี้ เชื่อว่าธนาคารกลางจะไม่มีความจำเป็นที่ต้องปรับ RRR ขึ้นอีก
ส่วนการภาคอสังหาริมทรัพย์ บลจ. ทิสโก้ เชื่อว่าจะยังไม่เกิดฟองสบู่ ถึงแม้ในปีที่ผ่านมาภาคอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีนมีการปรับตัวขึ้นอย่างมาก แต่ โครงสร้างพื้นฐานของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจีนนั้นแข็งแกร่ง ผู้ซื้อส่วนใหญ่วางเงินมัดจำในสัดส่วนสูง ซึ่งนอกจากจะเป็นการช่วยลดภาระของผู้ประกอบการยังช่วยลดความเสี่ยงของฝั่งธนาคารอีกด้วย อีกทั้งหากพิจารณาสัดส่วนหนี้สินต่อรายได้ของประชากรนั้น จะพบว่ายังอยู่ในระดับต่ำ
ขณะที่ตลาดหุ้นจีนจากมุมมองเชิงเศรษฐกิจเบื้องต้น ทำให้เราเชื่อว่าตลาดหุ้นจีนในปีนี้ยังมีความน่าสนใจ ดังที่ได้ให้ความเห็นไว้ก่อนหน้านี้ว่า ในครึ่งปีแรกตลาดหุ้นจีนจะให้ผลตอบแทนต่ำกว่าตลาดหุ้นส่วนใหญ่ทั่วโลก เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อ และในช่วงครึ่งปีหลังคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นจีนจะกลับมาให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจเมื่อเทียบกับตลาดอื่น เนื่องจากความกังวลในเรื่องดังกล่าวหมดไป โดยปัจจุบันตลาดหุ้นจีน (HSCEI) ซื้อขายอยู่ที่ P/E2011 ที่ 11x ต่ำกว่าในอดีตและตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในภูมิภาค
รายงานจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศจีนในปีนี้ คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 9-10% โดยถึงแม้อัตราการเติบโตดังกล่าวจะต่ำกว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับสูงและเชื่อว่าจะเป็นไปอย่างมีเสถียรภาพมากขึ้น หลังจากในอดีตจีนพึ่งพิงการส่งออกเป็นหลัก แต่จากนี้ สืบเนื่องจากสภาพความเป็นอยู่และรายได้ประชากรที่ดีขึ้น ทำให้เชื่อว่าการบริโภคในประเทศจะเป็นอีกปัจจัยหลักที่จะเป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจของประเทศ และส่งผลให้จีนพึ่งพาเศรษฐกิจโลกน้อยลง
ทั้งนี้ ทางการของจีนได้มีการตั้งเป้าหมาย เป้าหมายอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไว้ที่ 8% และต้องการคุมอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยที่ 4% และต้องการรักษาระดับการเปลี่ยนแปลงของสภาพคล่องในระบบ(M2) ไว้ที่ 16% ซึ่งเมื่อพิจารณาจากตัวเลขเป้าหมายข้างต้นแล้ว พบว่าตัวเลขGDP และตัวเลขเงินเฟ้อเป้าหมาย ยังต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 9.5% และ 4.5% ตามลำดับ
โดยการที่ภาครัฐตั้งเป้าหมายการเติบโตและอัตราเงินเฟ้อไว้ในระดับต่ำ ทำให้ทาง บลจ. มีความเห็นว่ารัฐบาลจะดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจโดยมุ่งเน้นการควบคุมเงินเฟ้อเป็นหลัก โดยเชื่อว่าการที่รัฐบาลตั้งเป้าการเติบโตที่ต่ำเพียง 8% นั้น จะช่วยลดความกดดันของภาครัฐในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของจีนในปีนี้
ส่วนการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ บลจ.ทิสโก้คาดว่า ประมาณการอัตราเงินเฟ้อของจีนในปีนี้เฉลี่ยน่าจะอยู่ที่ 5% สูงกว่าที่ตลาดคาดที่ 4.5% เล็กน้อย โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะปรับไปสู่ระดับสูงสุดที่ 6% ในช่วงเดือนมิถุนายน และจะค่อยๆ ชะลอตัวลง แต่ยังคงยืนอยู่ในระดับสูงจนถึงปลายปี อย่างไรก็ตาม มีความเห็นว่าอัตราเงินเฟ้อที่ระดับ 5% นั้น จะไม่ส่งผลลบต่อภาพรวมเศรษฐกิจมากนัก เนื่องจากเมื่อพิจารณาประกอบกับรายได้ประชากรที่เพิ่มขึ้น โดยเห็นได้จากการปรับขึ้นค่าแรงเฉลี่ยของประชากรที่ปรับชึ้นกว่า 10%
อย่างไรก็ดีเชื่อว่ายังคงมีความเสี่ยงที่เงินเฟ้ออาจออกมาสูงกว่าที่คาด หากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยืนเหนือ 110 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เป็นเวลานาน
ทั้งนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่า จีนจะยังคงใช้ Reserve Requirement Ratio (RRR) เป็นเครื่องมือหลักในการดูดซับสภาพคล่อง และลดความร้อนแรงของการเติบโตของสินเชื่อในระบบ โดยล่าสุดธนาคารกลางได้ประกาศปรับเพิ่ม RRR สำหรับธนาคารขนาดใหญ่มาอยู่ที่ 20% ซึ่งถือว่าสูงที่สุดที่เคยใช้มาในอดีต ในเดือนตุลาคมปี 2010 ธนาคารกลางได้มีการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ โดยในปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอยู่ที่ 3%
นอกจากนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะยังคงดำเนินต่อไป โดยคาดว่า ณ สิ้นปีอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงจะเท่ากับ 4% หรือเท่ากับกับอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายของภาครัฐ ทั้งนี้ มีความเห็นว่าการปรับใช้ทิศทางดอกเบี้ยนโยบายที่เข้มงวดขึ้นนั้น เป็นการปรับเพิ่มเพื่อไปสู่ระดับปกติก่อนวิกฤตเท่านั้น ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อจะชะลอการเติบโตของภาคธุรกิจ (Normalization, Not a Tightening) สำหรับการปรับขึ้น RRR นั้น ให้ติดตามการเติบโตของตัวเลข M2 เป็นหลัก ซึ่งตัวเลขล่าสุดเดือนกุมภาพันธ์ ปรับลดมาอยู่ที่ระดับ 15.7% ต่ำกว่าเป้าของภาครัฐที่ 16% หากตัวเลขนี้ยังสามารถทรงตัวอยู่ในระดับนี้ เชื่อว่าธนาคารกลางจะไม่มีความจำเป็นที่ต้องปรับ RRR ขึ้นอีก
ส่วนการภาคอสังหาริมทรัพย์ บลจ. ทิสโก้ เชื่อว่าจะยังไม่เกิดฟองสบู่ ถึงแม้ในปีที่ผ่านมาภาคอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีนมีการปรับตัวขึ้นอย่างมาก แต่ โครงสร้างพื้นฐานของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจีนนั้นแข็งแกร่ง ผู้ซื้อส่วนใหญ่วางเงินมัดจำในสัดส่วนสูง ซึ่งนอกจากจะเป็นการช่วยลดภาระของผู้ประกอบการยังช่วยลดความเสี่ยงของฝั่งธนาคารอีกด้วย อีกทั้งหากพิจารณาสัดส่วนหนี้สินต่อรายได้ของประชากรนั้น จะพบว่ายังอยู่ในระดับต่ำ
ขณะที่ตลาดหุ้นจีนจากมุมมองเชิงเศรษฐกิจเบื้องต้น ทำให้เราเชื่อว่าตลาดหุ้นจีนในปีนี้ยังมีความน่าสนใจ ดังที่ได้ให้ความเห็นไว้ก่อนหน้านี้ว่า ในครึ่งปีแรกตลาดหุ้นจีนจะให้ผลตอบแทนต่ำกว่าตลาดหุ้นส่วนใหญ่ทั่วโลก เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อ และในช่วงครึ่งปีหลังคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นจีนจะกลับมาให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจเมื่อเทียบกับตลาดอื่น เนื่องจากความกังวลในเรื่องดังกล่าวหมดไป โดยปัจจุบันตลาดหุ้นจีน (HSCEI) ซื้อขายอยู่ที่ P/E2011 ที่ 11x ต่ำกว่าในอดีตและตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในภูมิภาค