ASTVผู้จัดการรายวัน - แอสเซทพลัส ระบุ ดอกเบี้ยมีแนวโนมเป็นขาขึ้นส่งผลดีต่อตราสารหนี้ระยะสั้น เปิดขาย IPO กองทุนเปิดแอสเซทพลัสตราสารหนี้ทวีทรัพย์ 3 อายุ 3 เดือน เปิดขาย ถึง 22 ม.ย.นี้ ขณะที่ บลจ. บัวหลวง ไอพีโอกองบอนด์ต่อเนื่องเพิ่ม 2 กองทุน "บัวหลวงตราสารหนี้ชนิดระบุวันครบกำหนด 13/11 และ14/11" ชูยิลด์ 2.70% และ 2.95% ตามลำดับ เปิดขายถึง 21 มิ.ย. นี้
นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ รองกรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ. แอสเซท พลัส จำกัด กล่าวว่า สัปดาห์นี้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยค่อนข้างผันผวนโดยในภาพรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนทุกช่วงอายุ จากการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 3.00% ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกและการเมืองไทย ทำให้มีกระแสเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นและตราสารหนี้ไทยเร็วและมีปริมาณมาก ซึ่งน่าจะเป็นผลกระทบในช่วงสั้น และคาดว่าเม็ดเงินลงทุนจะไหลกลับเข้ามาอีกครั้งหากสถานการณ์การเมืองหลังการเลือกตั้งมีทิศทางที่ชัดเจนขึ้น ทั้งนี้ ปัจจัยด้านอัตราเงินเฟ้อยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ และยังคงต้องได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง
“แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น จะส่งผลดีต่ออัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ระยะสั้น ที่จะมีการปรับเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย บริษัทฯ จึงแนะนำให้นักลงทุนลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น เพื่อไม่ให้เสียโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนสูงขึ้นในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น” นาย วิน กล่าว
นายวิน กล่าวเพิ่มเติมว่า ระหว่างวันที่ 16- 22 มิถุนายน บลจ.แอสเซท พลัส เสนอขาย IPO กองทุนเปิดแอสเซทพลัสตราสารหนี้ทวีทรัพย์ 3 (ASP-TFIXED3) ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ ที่เปิดเสนอขายเป็นรอบระยะเวลา โดยในรอบการลงทุนแรกนี้ กองทุนจะลงทุนในตราสารหนี้เอกชนไทย อายุประมาณ 3 เดือน ได้แก่ ตั๋วแลกเงินของบริษัทเอกชนไทยที่มีฐานะการเงินดี เช่น ธนาคารทิสโก้ (TISCO) ธนาคารธนชาต (TBANK) บมจ.สวนอุตสาหกรรม โรจนะ (ROJANA) บจ. เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง (ASK) บมจ. บัตรกรุงไทย (KTC) สัดส่วนตราสารละประมาณ 20% ของพอร์ตการลงทุน โดยคาดว่าสามารถให้ผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายได้อยู่ที่ 2.80% ต่อปี*
รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทกำลังเปิดกองทุนตราสารหนี้ใหม่เพิ่มขึ้นอีก 2 กองทุนได้แก่ กองทุนรวมบัวหลวงตราสารหนี้ชนิดระบุวันครบกำหนด 13/11 หรือ B-Fixterm13/11 อายุ 3เดือน ให้ผลตอบแทนประมาณการอยู่ที่ 2.70% ต่อปี และกองทุนรวมบัวหลวงตราสารหนี้ชนิดระบุวันครบกำหนด 14/11 หรือ B-Fixterm14/11 อายุ 6 เดือน ให้ผลตอบแทนประมาณการอยู่ที่ 2.95% ต่อปี โดยเริ่มเปิดไอพีโอแล้ววันนี้ - 21 มิถุนายน 2554
โดยทั้ง 2 กองทุนจะเข้าไปลงทุนในพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย CB11922A และ CB11Do1A ในสัดส่วนการลงทุนโดยประมาณ 8% , ลงทุนเงินฝาก หรือตราสารหนี้สถาบันการเงินในประเทศ ในสัดส่วนการลงทุนโดยประมาณ 19% , ลงทุนตราสารหนี้ภาคเอกชน ในสัดส่วนการลงทุนโดยประมาณ 24% , ลงทุนตราสารหนี้ภาครัฐของสาธารณรัฐเกาหลี ในสัดส่วนการลงทุนโดยประมาณ 24%, ลงทุนเงินฝาก ตราสารหนี้ต่างประเทศ ในสัดส่วนการลงทุนโดยประมาณ 24% และเงินฝากอีก 1% รวมเป็น 100%
ทั้งนี้กองทุนดังกล่าวเหมาะสมกับเงินลงทุนของผู้ลงทุนในส่วนที่ต้องการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในประเทศและตราสารหนี้ต่างประเทศ โดยเลือกลงทุนในตราสารหนี้ของกิจการที่มีความมั่นคงและมีศักยภาพในการให้ผลตอบแทนที่ดี อย่างไรก็ตาม เงินลงทุนที่จะนำมาลงทุนกองทุนนี้ควรเป็นเงินส่วนที่สามารถลงทุนได้ตามอายุกองทุน
โดยกองทุนจะเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศ หรือต่างประเทศอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างรวมกัน ซึ่งส่วนการลงทุนในประเทศตราสารหนี้ภาครัฐและรัฐวิสาหกิจไทย เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย หรือพันธบัตร หรือตราสารแห่งหนี้ที่กระทรวงการคลัง กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน หรือรัฐวิสาหกิจ เป็นผู้ออก ผู้รับรอง ผู้รับอาวัล หรือผู้ค้ำประกัน ตราสารหนี้สถาบันการเงินไทย หรือธนาคารที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้นตราสารหนี้ภาคเอกชนไทย ที่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของตัวตราสาร และหรือผู้ออกตราสารในระดับ Investment Grade ณ วันที่ลงทุน ทั้งนี้ ในกรณีที่ตราสารดังกล่าวเป็นหุ้นกู้ด้อยสิทธิ ตัวตราสารจะต้องได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ Investment Grade เท่านั้น
ส่วนการลงทุนในต่างประเทศตราสารหนี้ที่เสนอขายในต่างประเทศ โดยจะลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือสถาบันการเงิน และหรือภาคเอกชน รวมถึงตราสารหนี้อื่นใด ที่เสนอขายในต่างประเทศ ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือณ วันที่ลงทุน ในระดับ Investment Grade หรือเงินฝากต่างประเทศ
นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ รองกรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ. แอสเซท พลัส จำกัด กล่าวว่า สัปดาห์นี้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยค่อนข้างผันผวนโดยในภาพรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนทุกช่วงอายุ จากการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 3.00% ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกและการเมืองไทย ทำให้มีกระแสเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นและตราสารหนี้ไทยเร็วและมีปริมาณมาก ซึ่งน่าจะเป็นผลกระทบในช่วงสั้น และคาดว่าเม็ดเงินลงทุนจะไหลกลับเข้ามาอีกครั้งหากสถานการณ์การเมืองหลังการเลือกตั้งมีทิศทางที่ชัดเจนขึ้น ทั้งนี้ ปัจจัยด้านอัตราเงินเฟ้อยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ และยังคงต้องได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง
“แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น จะส่งผลดีต่ออัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ระยะสั้น ที่จะมีการปรับเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย บริษัทฯ จึงแนะนำให้นักลงทุนลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น เพื่อไม่ให้เสียโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนสูงขึ้นในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น” นาย วิน กล่าว
นายวิน กล่าวเพิ่มเติมว่า ระหว่างวันที่ 16- 22 มิถุนายน บลจ.แอสเซท พลัส เสนอขาย IPO กองทุนเปิดแอสเซทพลัสตราสารหนี้ทวีทรัพย์ 3 (ASP-TFIXED3) ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ ที่เปิดเสนอขายเป็นรอบระยะเวลา โดยในรอบการลงทุนแรกนี้ กองทุนจะลงทุนในตราสารหนี้เอกชนไทย อายุประมาณ 3 เดือน ได้แก่ ตั๋วแลกเงินของบริษัทเอกชนไทยที่มีฐานะการเงินดี เช่น ธนาคารทิสโก้ (TISCO) ธนาคารธนชาต (TBANK) บมจ.สวนอุตสาหกรรม โรจนะ (ROJANA) บจ. เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง (ASK) บมจ. บัตรกรุงไทย (KTC) สัดส่วนตราสารละประมาณ 20% ของพอร์ตการลงทุน โดยคาดว่าสามารถให้ผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายได้อยู่ที่ 2.80% ต่อปี*
รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทกำลังเปิดกองทุนตราสารหนี้ใหม่เพิ่มขึ้นอีก 2 กองทุนได้แก่ กองทุนรวมบัวหลวงตราสารหนี้ชนิดระบุวันครบกำหนด 13/11 หรือ B-Fixterm13/11 อายุ 3เดือน ให้ผลตอบแทนประมาณการอยู่ที่ 2.70% ต่อปี และกองทุนรวมบัวหลวงตราสารหนี้ชนิดระบุวันครบกำหนด 14/11 หรือ B-Fixterm14/11 อายุ 6 เดือน ให้ผลตอบแทนประมาณการอยู่ที่ 2.95% ต่อปี โดยเริ่มเปิดไอพีโอแล้ววันนี้ - 21 มิถุนายน 2554
โดยทั้ง 2 กองทุนจะเข้าไปลงทุนในพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย CB11922A และ CB11Do1A ในสัดส่วนการลงทุนโดยประมาณ 8% , ลงทุนเงินฝาก หรือตราสารหนี้สถาบันการเงินในประเทศ ในสัดส่วนการลงทุนโดยประมาณ 19% , ลงทุนตราสารหนี้ภาคเอกชน ในสัดส่วนการลงทุนโดยประมาณ 24% , ลงทุนตราสารหนี้ภาครัฐของสาธารณรัฐเกาหลี ในสัดส่วนการลงทุนโดยประมาณ 24%, ลงทุนเงินฝาก ตราสารหนี้ต่างประเทศ ในสัดส่วนการลงทุนโดยประมาณ 24% และเงินฝากอีก 1% รวมเป็น 100%
ทั้งนี้กองทุนดังกล่าวเหมาะสมกับเงินลงทุนของผู้ลงทุนในส่วนที่ต้องการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในประเทศและตราสารหนี้ต่างประเทศ โดยเลือกลงทุนในตราสารหนี้ของกิจการที่มีความมั่นคงและมีศักยภาพในการให้ผลตอบแทนที่ดี อย่างไรก็ตาม เงินลงทุนที่จะนำมาลงทุนกองทุนนี้ควรเป็นเงินส่วนที่สามารถลงทุนได้ตามอายุกองทุน
โดยกองทุนจะเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศ หรือต่างประเทศอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างรวมกัน ซึ่งส่วนการลงทุนในประเทศตราสารหนี้ภาครัฐและรัฐวิสาหกิจไทย เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย หรือพันธบัตร หรือตราสารแห่งหนี้ที่กระทรวงการคลัง กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน หรือรัฐวิสาหกิจ เป็นผู้ออก ผู้รับรอง ผู้รับอาวัล หรือผู้ค้ำประกัน ตราสารหนี้สถาบันการเงินไทย หรือธนาคารที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้นตราสารหนี้ภาคเอกชนไทย ที่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของตัวตราสาร และหรือผู้ออกตราสารในระดับ Investment Grade ณ วันที่ลงทุน ทั้งนี้ ในกรณีที่ตราสารดังกล่าวเป็นหุ้นกู้ด้อยสิทธิ ตัวตราสารจะต้องได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ Investment Grade เท่านั้น
ส่วนการลงทุนในต่างประเทศตราสารหนี้ที่เสนอขายในต่างประเทศ โดยจะลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือสถาบันการเงิน และหรือภาคเอกชน รวมถึงตราสารหนี้อื่นใด ที่เสนอขายในต่างประเทศ ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือณ วันที่ลงทุน ในระดับ Investment Grade หรือเงินฝากต่างประเทศ