xs
xsm
sm
md
lg

ทิสโก้มองหุ้นไทยวิ่งรับเลือกตั้ง คาดได้รัฐบาลใหม่SETนิ่งไม่หวือหวา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-บลจ.ทิสโก้ ประเมินดัชนีหุ้นไทยวิ่งรับข่าวการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 3 กค. 54 คาดได้รัฐบาลใหม่หุ้นไทยอาจนิ่งหากไม่มีข่าวดีมากระตุ้นตลาด พร้อมประเมินเป้าหมายSET ยังอยู่ที่ 1,200 จุดตามเดิม

นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและที่ปรีกษาการลงทุน ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล และกองทุรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า พรรคการเมืองที่จะมาเป็นรัฐบาลหลังเลือกตั้งย่อมจะส่งผลกระทบต่อทิศทางของตลาดหุ้นพอสมควร ซึ่งหากพรรครัฐบาลเป็นขั้วอำนาจเดิมยังคงจับกลุ่มกันได้ตลาดหุ้นก็น่าจะมีการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องได้อย่างยั่งยืน เพราะนโยบายของพรรคคงจะมีการสานต่อไปได้ไม่มีปัญหาอะไร

ทั้งนี้หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลตรงนั้นยังมีหลายคำถามที่คงต้องติดตามหาคำตอบกันต่อไปและนั้นอาจจะทำให้กระทบต่อทิศทางของตลาดหุ้นได้เช่นกัน นโยบายเดิมที่ทำมาแล้วจะทำต่อหรือไม่ รวมถึงอีกหลายคำถามที่นักลงทุนคงต้องถามหากมีการเปลี่ยนขั้วอำนาจ แต่เท่าที่สัมผัสจากโพลต่างๆ ในปัจจุบันก็เห็นว่าคะแนนของพรรคเพื่อไทยยังมาเหนือพรรคประชาธิปัตย์อยู่ ตรงนี้คงต้องจับตาดูกันอีกครั้งว่าสุดท้ายใครจะได้เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล ซึ่งก่อนการเลือกตั้งนักลงทุนอาจมีการ take profits ออกไปก่อนหลังได้รัฐบาลใหม่น่าจะมีกระแสเงินลงทุนไหลกลับเข้ามาอีกครั้ง

ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยในแง่มูลค่าไม่ถือว่าถูกที่ระดับดัชนีประมาณ 1,000 จุด นี้ มีสัดส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) ประมาณ 13 - 14 เท่า ถือว่าค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับในอดีตช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ที่ 10 - 11 เท่า ซึ่งเป้าหมายของดัชนีระดับ 1,200 จุด ที่ตลาดมองกันนั้นก็มี P/E ประมาณ 14 เท่า ถือว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสในขาขึ้น (Upside) เหลือไม่มากนัก ซึ่งต้องยอมรับว่าในช่วง 2 ปี ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมามากแล้วด้วย ปัจจุบันส่วนที่เคยเทรดดิสเคาท์จากตลาดภูมิภาคก็กลับมาเทรดใกล้เคียงกันแล้ว

ดังนั้นเราจึงแนะนำให้ลูกค้าลดการลงทุนในตลาดหุ้นไทยลงแล้วหันไปกระจายพอร์ตการลงทุนไปในตลาดหุ้นอื่นที่มีศักยภาพและโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า ได้แก่ ตลาดหุ้นสหรัฐและตลาดหุ้นจีน ซึ่งถือเป็น 2 ภูมิภาคหลักที่บริษัทแนะนำในปัจจุบัน ส่วนตลาดหุ้นไทยเองพื้นฐานไม่ได้แย่เพียงแต่ราคาค่อนข้างแพง

นอกจากนี้บริษัทไม่ได้ออกกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มเติมออกมา เพราะแม้ว่านักลงทุนจะต้องการออกมาแล้วขายดี แต่ที่ระดับดัชนีปัจจุบันโอกาสในการถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้อาจไม่ง่ายนัก ถ้าจะออกคงต้องรอให้ดัชนีอยู่ในระดับที่มั่นใจว่าออกกองทุนมาแล้วจะสามารถถึงเป้าหมายที่ตั้งใจเอาไว้ได้ด้วย โดยมองว่าจุดสูงสุดของปีน่าจะเกิดขึ้นในช่วงนี้ เพราะจากสถิติที่ผ่านมาส่วนใหญ่ดัชนีจะปรับตัวขึ้นก่อนเลือกตั้ประมาณ 3 เดือน หลังจากนั้นก็จะไม่มีข่าวมากระตุ้นให้ดัชนีปรับตัวขึ้นได้ต่อตลาดหลังเลือกตั้งก็มักจะธรรมดาไม่มีหวือหวาแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตามเราประเมินว่าสหรัฐฯจะไม่มีการต่อนโยบายการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าในระบบการเงิน หรือ QE ครั้งที่ 3 ซึ่งประเด็นที่จะจับตาดูคือจะมีการดึงเงิน QE2 ที่อยู่ในระบบกว่า 6 แสนล้านเหรีญสหรัฐฯกลับมาเมื่อไรและวิธีการใด ซึ่งเรามองว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด จะยังไม่รีบดึงเงินกลับ โดยวิธีการดึงเงินกลับน่าจะใช้การขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเรามองว่าอาจจะยังไม่มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้

รับสนใจ Inflation-linked bond

นอกจากนี้นายสาห์รัช กล่าวต่อว่า ทางเรามีความน่าสนใจ Inflation-linked bond หรือพันธบัตรที่อ้างอิงกับอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งพันธบัตรดังกล่าวเหมาะกับการลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะการลงทุนเพื่อการเกษียณ เป็นต้น อย่างไรก็ตามเริ่มมีนักลงทุนเข้ามาพูดคุยกับเราเกี่ยวกับ Inflation-linked bond ซึ่งอาจจะมีการจัดตั้งกองทุนขึ้นมาเพื่อเข้าไปลงทุน

โดยเราอยากแนะนำให้นักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะยาวเข้าไปลงทุนใน Inflation-linked bond ทางบลจ.ทิสโก้มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพประมาณ 80,000 ล้านบาท เราก็จะมีการแนะนำให้มีลงทุนในพันธบัตรดังกล่าวอีกด้วย ทั้งนี้ทางเราคงต้องติดตามกฎเกณฑ์ต่างๆว่าจะออกมาในรูปแบบไหน รวมถึงประเด็นเรื่องการเสียภาษี ซึ่งหากทุกอย่างชัดเจนทางเราก็จะมีการพูดคุยถึงประเด็นนี้อีกครั้ง

ขณะที่นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการผู้จัดการ บลจ. ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า ที่ผ่านมามีบริษัทเคยนำ Inflation-linked bond ในต่างประเทศมาเสนอให้กับบลจ.มาก่อนแต่เรามองว่าข้อจำกัดในการลงทุนค่อนข้างมาก แต่ในส่วนของ Inflation-linked bond ของประเทศไทยนั้น เราค่อนข้างให้ความสนใจแต่ต้องรอรายละเอียดต่างๆให้ชัดเจนก่อน ทั้งนี้พันธบัตรประเภทดังกล่าวถือว่าเป็นประเทศแรกๆในเอเชียที่มีการเปิดให้ลงทุนใน Inflation-linked bond

สำหรับการปรับพอร์ตการลงทุนในช่วงนี้นักลงทุนควรมีการปรับเปลี่ยนพอร์ตกระจายการลงทุนไปยังกลุ่มประเทศอื่นบ้าง โดยเฉพาะสหรัฐฯ และประเทศจีน เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทนและเป็นการช่วยกระจายความเสี่ยงในการลงทุนอีก ซึ่งยักษ์ใหญ่ทั้งสองประเทศนี้เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกอีกด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น