xs
xsm
sm
md
lg

ปั้นกองทุนลุยหุ้นดาวเด่นทั่วโลก แอสเซทพลัสดักเก็บของถูกรอศก.ฟื้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - บลจ.แอสเซทพลัสจับจังหวะเศรษฐกิจโลกฟื้น ตั้งกองทุน "แอสเซทพลัสสตาร์" ลุยหุ้นดาวเด่นของโลก มั่นใจเป็นโอกาสดี หลังเริ่มฟื้นตัวจากวิกฤต ขายไอพีโอถึง 27 เม.ย. นี้ ด้านตลาดหุ้นไทย "ก้องเกียรติ" มองยังมีโมเมนตัมวิ่งรับข่าวเลือกตั้งใหม่ แต่เตือนต้องระมัดระวังมากขึ้น จับจังหวะเข้าออกให้ดี

นางลดาวรรณ เจริญรัชต์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แอสเซท พลัส จำกัด เปิดเผยว่า แผนธุรกิจในปี 2554 นี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการเติบโตของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การจัดการ (AUM) จากสิ้นปี 2553 ที่ 26,067 ล้านบาท เป็น 35,000 ล้านบาท และตั้งเป้ากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นประมาณ 15-20% ในสิ้นปี 2554 จากทั้งธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล โดยในส่วนของธุรกิจกองทุนรวม จะเน้นเพิ่มทางเลือกการลงทุนให้ลูกค้ามากขึ้น ซึ่งระหว่างวันที่ 19-27 เมษายน นี้ บริษัทฯ จะเสนอขาย กองทุนเปิดแอสเซทพลัสสตาร์ (ASP-STARS) กองทุนผสมต่างประเทศ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนเพิ่มอีก 1 กองทุน

โดยกองทุน ASP-STARS จะลงทุนในหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น ประมาณ 20 บริษัท โดยเน้นบริษัทที่เป็นผู้นำธุรกิจและเป็นที่รู้จักทั่วโลก มีการเติบโตของธุรกิจในระดับสูง และมีราคาที่น่าลงทุนเมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน โดยกองทุนมีความยืดหยุ่นในการจัดสัดส่วนการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ สูง ทั้งตราสารหนี้ ตราสารทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนจากจังหวะการลงทุนตามภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์การลงทุนในแต่ละช่วง

ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวมีอายุโครงการ 2 ปี โดยเมื่อกองทุนมีการเติบโตของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ กองทุนจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติให้ผู้ลงทุน โดยกำหนดเป้าหมายการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนปรับขึ้นผ่านระดับทุก 5% ของมูลค่าหน่วยลงทุนเริ่มแรก คือ 10.50 บาท, 11.00 บาท, 11.50 บาท ... เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้กับลูกค้าระหว่างการลงทุน

นางลดาวรรณกล่าวว่า ในปี 2554 ตลาดหุ้นของประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น เป็นกลุ่มที่น่าสนใจลงทุนจากมูลค่าของหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ที่ปรับลงมาอยู่ในระดับต่ำจากช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมา และยังมีโอกาสให้อัตราผลตอบแทนในระดับสูงในภาวะที่เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าขณะนี้ประเทศญี่ปุ่นจะได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ แต่คาดว่าปัจจัยดังกล่าวจะเป็นผลกระทบในระยะสั้น และตลาดหุ้นญี่ปุ่นน่าจะสามารถปรับตัวขึ้นอีกครั้งในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ จากเม็ดเงินของรัฐบาลญี่ปุ่นที่อัดฉีดเข้าสู่ระบบเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ

“ระดับราคาหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ในตลาดสหรัฐฯ ที่ลดลงมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับตลาดหุ้นของประเทศกำลังพัฒนา ขณะที่อัตราการเติบโตของธุรกิจอยู่ในระดับสูง ทำให้นักวิเคราะห์ประเมินว่าโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับลดลงมาอีกมีค่อนข้างน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง” นางลดาวรรณ กล่าว

ด้านนายวิน อุดมรัชตวนิชย์ รองกรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.แอสเซท พลัส กล่าวว่า ในด้านการคัดเลือกหลักทรัพย์ของกองทุน ASP-STARS ทีมผู้จัดการกองทุน จะเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งเป็น Brand ระดับโลก ที่มีการดำเนินกิจการที่โปร่งใส ยึดหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี และเป็นหลักทรัพย์ที่ได้รับผลประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและการบริโภคที่เพิ่มขึ้น กลุ่มธุรกิจผลิตสินค้าหรือบริการที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ และกลุ่มธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตของยอดขายต่อ

โดยกลุ่มที่สนใจลงทุน ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี เช่น Google และ Apple กลุ่มสถาบันการเงิน ที่ได้รับผลดีจากการขยายกำลังผลิตของภาคการลงทุน และแนวโน้มในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น เช่น JPMorgan Chase & Co และ AIA กลุ่มบริษัทข้ามชาติ ที่มีการกระจายธุรกิจไป ทั่วโลก และมีรายได้จากการดำเนินงานปรับตัวไปตามภาวะเศรษฐกิจของแต่ละภูมิภาค เช่น McDonald’s และ Starbucks และกลุ่มบริษัทค้าปลีก ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลดีจากการขยายตัวของภาคการบริโภคในภูมิภาคเอเชีย และกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ที่ยังคงมีการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เช่น Tesco

"ก้องเกียรติ"ลุ้นหุ้นไทยวิ่งรับเลือกตั้ง

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันราคาค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับในอดีต โดยสัดส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) ปรับขึ้นมาใกล้เคียงกับภูมิภาคประมาณ 13 เท่า จากในอดีตประมาณ 8 - 9 เท่า ในขณะที่ตลาดหุ้นพัฒนาแล้วราคาเริ่มน่าสนใจ การมองในแง่ของการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนก็ถือเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับนักลงทุน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยยังมีโมเมนตัมที่ค่อนข้างดี ตลาดเต็มไปด้วยข่าวดี จากสถิติในอดีตพบว่าตลาดหุ้นไทยจะมีการปรับตัวขึ้นประมาณ 3 - 7% ก่อนช่วงเลือกตั้งประมาณ 3 เดือน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสถิติจะต้องเป็นจริงเช่นนั้นเสมอ

"ในตอนนี้นักลงทุนอาจจะตามน้ำไปก่อนแต่ก็ควรเริ่มระมัดระวังมากขึ้นในภาวะที่ตลาดมีข่าวดีเช่นนี้ หากตลาดปรับตัวลงเมื่อไรก็ให้ออกจากตลาดให้ทันท่วงทีเท่านั้นเอง"
กำลังโหลดความคิดเห็น