xs
xsm
sm
md
lg

กองทุนโดดเข้าเก็งกำไรหุ้นเอเชีย ชี้จังหวะเหมาะรับสัญญาณศก.สดใส

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บลจ.ทิสโก้ ต่อยอดทริกเกอร์ฟันด์ ส่งกองทุน “ทิสโก้ เอเชีย ลีดเดอร์ ทริกเกอร์ 15%” กองที่ 3 ลุยหุ้นเอเชีย ตั้งเป้าทำกำไร 15% ในตลาดใหญ่ 5 ประเทศเอเชีย ทั้งจีน ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลี และสิงคโปร์ ชี้สัญญาณหุ้นเอเชียยังสด เหมาะลงทุนเพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทน ด้าน "ยูโอบี" มองหุ้นแบงก์พาณิชย์แดนมังกรโดดเด่น ศักยภาพดีระยะยาว

นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า บลจ.ทิสโก้เตรียมเปิดขาย “กองทุนเปิด ทิสโก้ เอเชีย ลีดเดอร์ ทริกเกอร์ 15% # 3” (TISCO Asia Leader Trigger 15% Fund # 3) ซึ่งเป็นกองทุนรวมตราสารแห่งทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) อายุโครงการประมาณ 1 ปี มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท โดยจะเสนอขายเพียงครั้งเดียว (ไอพีโอ) ในวันที่ 4-12 เม.ย. 2554 นี้ ที่ธนาคารทิสโก้ ทุกสาขา

สำหรับ กองทุนเปิด ทิสโก้ เอเชีย ลีดเดอร์ ทริกเกอร์ 15% # 3 จะลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนอีทีเอฟ (Exchange Traded Fund) ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงหรือสิงคโปร์ โดยมีนโยบายลงทุนเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนีหุ้นของประเทศในภูมิภาคเอเชีย 5 ประเทศ อันได้แก่ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลี และสิงคโปร์ ตั้งเป้าทำกำไรที่ 15% โดยบริษัทจัดการสามารถเลิกโครงการก่อนครบกำหนดอายุ หากหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 11.5000 บาท ณ วันทำการใดก่อนวันครบอายุโครงการ โดยกองทุนจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติทั้งหมดในวันทำการที่ 5 นับตั้งแต่วันถัดจากวันที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว กองทุนนี้เหมาะสมสำหรับเงินลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุนไปยังหลักทรัพย์ต่างประเทศ โดยผู้ลงทุนควรมีความเข้าใจและสามารถยอมรับความเสี่ยงของการลงทุนในต่างประเทศได้

ทั้งนี้ การเสนอขายกอง ทิสโก้ เอเชีย ลีดเดอร์ ทริกเกอร์ 15% กองที่ 3 ในครั้งนี้ ก็เพื่อเป็นการรองรับความต้องการของนักลงทุนที่ต้องการจะลงทุนในต่างประเทศโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งมีแนวโน้มการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจที่สดใส และปัจจัยลบด้านอัตราเงินเฟ้อกำลังจะคลี่คลายในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ทำให้ช่วงนี้จึงเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสำหรับการลงทุน เพื่อเพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นในอนาคต

นอกจากนี้ บริษัทยังได้เพิ่มทางเลือกนักลงทุนที่ชอบการลงทุนตราสารหนี้ด้วย กองทุนเปิด ทิสโก้ ตราสารหนี้โรลอัพ 1 และ กองทุนเปิด ทิสโก้ ตราสารหนี้โรลอัพ 2 ที่เสนอขายไปก่อนหน้านี้ โดยบริษัทจะเปิดเสนอขายหน่วยลงทุนรอบใหม่ของทั้ง 2 กองทุน อีกครั้งในวันที่ 4 เม.ย. 54 และ 5 เม.ย. 54 ตามลำดับ ทั้งนี้ ทั้งสองกองทุน เป็นกองทุนรวมตราสารแห่งหนี้ที่ไม่กำหนดอายุโครงการ เน้นการลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพในประเทศระยะสั้น อาทิ ตั๋วแลกเงินและหุ้นกู้ภาคเอกชน ที่ให้ผลตอบแทนสูงในภาวะทิศทางดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยจะทำการเสนอขายทุกๆ 6 เดือน

ด้านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี จำกัด รายงานภาวะเศรษฐกิจและแนวโน้มการลงทุนที่น่าสนใจล่าสุดว่า การลงทุนในประเทศจีนนั้น บลจ.ยูโอบี มองว่า ณ ปัจจุบันอาจเป็นโอกาสที่ดีในการทยอยเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากธนาคารเหล่านั้นยังมีศักยภาพดีและน่าจะเติบโตได้ในระยะกลางถึงยาว แม้ว่า ธนาคารกลางจีนได้ประกาศให้ธนาคารขนาดใหญ่กันสำรองเงินฝากประมาณ 20 % ในวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่สูงมากเมื่อเทียบกับสัดส่วนการกันสำรองของประเทศพัฒนาแล้ว อย่างไรก็ดีอัตรา 20 % นี้อาจจะยังไม่ถือเป็นเพดานสูงสุด

ดังนั้น นักวิเคราะห์ตั้งคำถามว่า จีนจะปรับขึ้นสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) อีกหรือไม่ จุดสูงสุดจะอยู่ที่ระดับใด โดยจะอยู่ที่ 30 % หรือ 50 % หรือไม่ ต้องดูว่า มาตรการคุมเข้มทางการเงินเช่นนี้สร้างความบิดเบือนในระบบเศรษฐกิจอย่างไร แม้การปรับขึ้น RRR ถือเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการกดดันอัตราเงินเฟ้อในช่วงที่ผ่านมา แต่วิธีการนี้ก็เริ่มสร้างความเสียหายต่อภาคธนาคาร ทำให้ผลกำไรปรับตัวลดลงมาก

ด้านประเทศอินเดียนั้น ธนาคารกลางอินเดียได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย 8 ครั้งในรอบ 12 เดือนล่าสุด โดยในเดือนก.พ. อัตราเงินเฟ้อกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 8.3% ซึ่งสูงกว่าอัตราที่ควรจะเป็นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งทำให้ธนาคารกลางจำเป็นที่จะต้องขึ้นดอกเบี้ยอีก โดย บลจ.ยูโอบี มองว่า หากดอกเบี้ยอยู่ในอัตราที่สูงมากจะส่งผลเสียต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและกดดันการฟื้นตัวของตลาดหุ้น

ส่วนสถานการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในญี่ปุ่นนั้น ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นเกือบทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นในหลังจากที่ปรับลดลงแรงในสัปดาห์ก่อนหน้า หลังตลาดเริ่มคลายความกังวล แต่อย่างไรก็ตามที่ยังน่าจับตามองคือปัญหาความวุ่นวายในแถบตะวันออกกลางและแอฟริกาหนือ (MENA) ที่ยังคงมีอยู่ ซึ่งปัญหาในแถบ MENA นั้นอาจส่งผลกระทบต่อตลาดได้เช่นกันซึ่งต้องติดตามใกล้ชิด เนื่องจากสถานการณ์ตึงเครียดในลิเบีย เยเมน บาห์เรน และ ซาอุฯ อาจส่งไปถึงการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบ ทองคำ และหุ้นทั่วโลกได้
กำลังโหลดความคิดเห็น