บลจ.แอสเซท พลัสมองไตรมาส 2 จับตาเงินเฟ้อต่อเนื่อง หลังปัจจัยดันราคาน้ำมันยังยืดเยื้อ คาดดอกเบี้ย 3.50-4.00% ภายในสิ้นปีนี้ ล่าสุดส่ง "แอสเซทพลัสแอ็คทีฟตราสารหนี้ 9" ลุยพันธบัตร และตราสารหนี้ธนาคารในประเทศ อายุประมาณ 3 เดือน เพิ่มโอกาศรับผลตอบแทน 2.25% ต่อปี
นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ รองกรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แอสเซท พลัส จำกัด เปิดเผยว่า ในไตรมาส 2 ปัจจัยด้านการลงทุนในตราสารหนี้ที่ยังต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การปรับตัวของอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งปัจจุบันปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ยืดเยื้อ และเริ่มกระจายวงกว้างขึ้น ส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่สถานการณ์ในประเทศภายหลัง การเลือกตั้งในช่วงครึ่งปีหลัง หากรัฐบาลมีการประกาศลอยตัวราคาน้ำมันดีเซล จะผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อในประเทศมีโอกาสปรับตัวขึ้นสูงกว่าระดับ 4% และกดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเร่งปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นเพื่อควบคุมเงินเฟ้อได้
ทั้งนี้ ในส่วนของบริษัทฯ มีมุมมองว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายน่าจะอยู่ที่ระดับ 3.50-4.00% ภายในสิ้นปีนี้ ดังนั้น ในด้านกลยุทธ์การลงทุนในตราสารหนี้ บริษัทฯ แนะนำให้นักลงทุนลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นภายในประเทศ เพื่อไม่ให้เสียโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนสูงขึ้นในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น
ล่าสุด ระหว่างวันที่ 31 มีนาคม - 7 เมษายน นี้ บลจ.แอสเซท พลัส จะเสนอขาย IPO กองทุนเปิดแอสเซทพลัสแอ็คทีฟตราสารหนี้ 9 (ASP-ACFIXED9) ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ไทยที่เปิดเสนอขายเป็นรอบระยะเวลา โดยในรอบการลงทุนแรกนี้ กองทุนจะลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ตั๋วแลกเงิน และหุ้นกู้ระยะสั้นที่ออกโดยธนาคารในประเทศ ประมาณ 3 เดือน เช่น พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย ตั๋วแลกเงินธนาคารนครหลวงไทย (SCIB) ตั๋วแลกเงินธนาคารทิสโก้ (TISCO) และหุ้นกู้ระยะสั้นธนาคารดอยช์แบงก์ (DB) โดยคาดว่าสามารถให้ผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายได้อยู่ที่ 2.25% ต่อปี
นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ รองกรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แอสเซท พลัส จำกัด เปิดเผยว่า ในไตรมาส 2 ปัจจัยด้านการลงทุนในตราสารหนี้ที่ยังต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การปรับตัวของอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งปัจจุบันปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ยืดเยื้อ และเริ่มกระจายวงกว้างขึ้น ส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่สถานการณ์ในประเทศภายหลัง การเลือกตั้งในช่วงครึ่งปีหลัง หากรัฐบาลมีการประกาศลอยตัวราคาน้ำมันดีเซล จะผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อในประเทศมีโอกาสปรับตัวขึ้นสูงกว่าระดับ 4% และกดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเร่งปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นเพื่อควบคุมเงินเฟ้อได้
ทั้งนี้ ในส่วนของบริษัทฯ มีมุมมองว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายน่าจะอยู่ที่ระดับ 3.50-4.00% ภายในสิ้นปีนี้ ดังนั้น ในด้านกลยุทธ์การลงทุนในตราสารหนี้ บริษัทฯ แนะนำให้นักลงทุนลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นภายในประเทศ เพื่อไม่ให้เสียโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนสูงขึ้นในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น
ล่าสุด ระหว่างวันที่ 31 มีนาคม - 7 เมษายน นี้ บลจ.แอสเซท พลัส จะเสนอขาย IPO กองทุนเปิดแอสเซทพลัสแอ็คทีฟตราสารหนี้ 9 (ASP-ACFIXED9) ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ไทยที่เปิดเสนอขายเป็นรอบระยะเวลา โดยในรอบการลงทุนแรกนี้ กองทุนจะลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ตั๋วแลกเงิน และหุ้นกู้ระยะสั้นที่ออกโดยธนาคารในประเทศ ประมาณ 3 เดือน เช่น พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย ตั๋วแลกเงินธนาคารนครหลวงไทย (SCIB) ตั๋วแลกเงินธนาคารทิสโก้ (TISCO) และหุ้นกู้ระยะสั้นธนาคารดอยช์แบงก์ (DB) โดยคาดว่าสามารถให้ผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายได้อยู่ที่ 2.25% ต่อปี