นักวิเคราะห์กองทุนรวม มองปัญหาจราจลในลิเบีย ส่งผลต่อราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นแค่ในระยะสั้นะ หากกลุ่ม OPEC สั่งผลิตน้ำมันเพิ่มปัจจัยดังกล่าวจะหายไป พร้อมเดือนนักลงทุนติดตามสถานการณ์ราคาอย่างใกล้ชิด
นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เราคาดว่าตลาดน่าจะยังคงให้ความสนใจกับปัญหาในตะวันออกกลางและราคาน้ำมัน แต่เนื่องจากปัจจัยด้านพื้นฐานหรือความต้องการที่แท้จริงยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ เราจึงมองว่าราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นมาอย่างรวดเร็วในช่วงนี้เป็นผลพวงจากความกังวลเป็นหลักซึ่งน่าจะส่งผลบวกต่อราคาน้ำมันเพียงขณะหนึ่ง ในแง่ของสถานการณ์ในลิเบียต่อการผลิตน้ำมันนั้น จากข้อมูลการผลิตน้ำมันของกลุ่ม OPEC พบว่า แท้จริงแล้วลิเบียมีสัดส่วนการผลิตน้ำมันเพียง 5.3% เมื่อเทียบกับปริมาณการผลิตทั้งหมดของกลุ่มซึ่งไม่มากนักเมื่อเทียบกับสมาชิกอื่น ขณะที่ปริมาณน้ำมันสำรองก็ไม่ได้มีมากนัก
ดังนั้นหากเกิดปัญหาเกี่ยวการผลิตขึ้นในลิเบียขึ้นจริงสมาชิกอื่นอย่างซาอุดิอาระเบียก็สามารถเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อชดเชยการลดลงดังกล่าวได้ ดังนั้น นักลงทุนที่ต้องการเข้าเก็งกำไรในกองทุนน้ำมันด้วยประเด็นดังกล่าว ควรต้องติดตามสถานการณ์ราคาอย่างใกล้ชิด เพราะหากสถานการณ์ความไม่สงบคลี่คลายไปหรือประเทศสมาชิกอื่นตัดสินใจเพิ่มกำลังการผลิตปัจจัยหนุนราคาระยะสั้นก็จะหมดไป
นอกจากนี้อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นข้อควรระวังคือ ความแตกต่างระหว่างราคาน้ำมันที่ได้ยินตามสื่อหรืออ่านพบในรายงานข่าวต่างๆกับราคาของสิ่งที่กองทุนน้ำมันกำลังลงทุนอยู่ โดยกองทุนน้ำมันของไทยที่มีอยู่ในตลาดขณะนี้ ทุกกองมีลักษณะเป็น Feeder fund ที่ไปลงทุนในกองทุนหลักที่ชื่อ Powershares DB Oil Fund หรือเรียกสั้นๆว่า DBO โดยกองทุนหลักดังกล่าวไม่ได้ซื้อน้ำมันดิบมาเก็บไว้จริงๆ แต่จะทำการลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ WTI Light Sweet Crude Oil เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี Deutsche Bank Liquid CommodityIndex - Optimal Yield Oil Excess Return
ทั้งนี้สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ WTI Light Sweet Crude Oil มีสินทรัพย์อ้างอิงคือน้ำมันดิบ WTI (West Texas Intermediate) ซึ่งเป็นน้ำมันดิบที่มีแหล่งผลิตในแถบ Midwest และ Gulf Coast ของสหรัฐ ด้วยเหตุที่ WTI เป็นน้ำมันดิบคุณภาพดีและมีสภาพคล่องสูงจึงถูกใช้เป็น benchmark สำหรับการออกสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงราคาน้ำมันดิบในตลาดสหรัฐหรือ New York Mercantile Exchange (NYMEX) ดังนั้น เวลาที่นักลงทุนได้ยินการรายงานถึงราคาน้ำมันดิบ NYMEX ก็จะหมายถึงราคาของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ WTI ที่ตลาด NYMEX ซึ่งสามารถแบ่งย่อยได้อีกตามวันส่งมอบหรือวันหมดอายุที่กำหนดในสัญญา
โดยในปัจจุบันสัญญาที่กองทุน DBO ถืออยู่คือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบส่งมอบเดือนกรกฎาคม 2554 ขณะที่ราคาน้ำมันที่เรามักได้ยินตามรายงานข่าวต่างๆจะเป็นราคาของสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าเดือนที่ใกล้ที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าราคาของสัญญาเดือนใกล้จะเปลี่ยนแปลงและผันผวนมากกว่าเดือนไกล ดังนั้น การรายงานราคาน้ำมัน NYMEXที่นักลงทุนมักได้ยินบ่อยๆจึงไม่ใช่ราคาของสัญญาที่กองทุนถืออยู่ จึงไม่ได้สะท้อนการเปลี่ยนแปลงใน NAV หรือผลตอบแทนของกองทุนได้ทั้ง100% และเนื่องจาก WTI มีแหล่งผลิตในสหรัฐ ดังนั้น เหตุการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือในช่วงที่ผ่านมาจึงส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบ NYMEX ไม่มากเท่าราคาน้ำมันดิบ Brent ซึ่งเป็น benchmark ราคาน้ำมันในยุโรปและแอฟริกาและอยู่ในตระกร้าราคาน้ำมันของ OPEC (OPEC Basket Price)
อย่างไรก็ตามผลจากประเด็นเรื่องความแตกต่างของวันหมดอายุสัญญาและสินค้าอ้างอิงเห็นได้อย่างชัดเจนในช่วงที่ผ่านมา โดยหากพิจารณาเฉพาะใน เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาที่มีปัญหาในตะวันออกกลางจะพบว่า ตั้งแต่วันที่ 1-28 กพ.54 ราคาสัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบ Brent และ NYMEX ส่งมอบเดือนเมษายน.54 เปลี่ยนแปลงมากถึง +11.1% และ +6.8% ตามลำดับ แต่ NAV ของกองทุน DBO Powershares Oil Fund ในช่วงเวลาเดียวกันกลับเพิ่มขึ้นเพียง +3.3% เท่านั้น และเมื่อคิดกลับมาเป็น NAV ของกองทุนในประเทศ อัตราผลตอบแทนหรือการเปลี่ยนแปลงNAV ของแต่ละกองก็จะแตกต่างกันออกไปอีกขึ้นอยู่กับ feature ของกองทุนแต่ละกองทุน ตัวอย่างเช่น วันในการคำนวณ NAV ทั้งนี้ ที่ผ่านมาเราพบว่า ในช่วงที่ราคาน้ำมันดิบมีความผันผวนมาก กองทุนน้ำมันในประเทศที่มีการใช้ NAV ของกองทุน DBO ในคืนที่มีการส่งคำสั่งซื้อขายกองทุน เช่น K-OIL และ ASP-OIL จะสร้างผลตอบแทนได้ใกล้เคียงกับกองทุน DBO มากกว่ากองที่มีการใช้ NAV กองทุน DBO ในคืนก่อนหน้ามาคำนวณ NAV ของกองทุน นักลงทุนจึงควรศึกษาความแตกต่างดังกล่าวและเปรียบเทียบการเคลื่อนไหว NAV ของกองทุน DBO ทุกครั้ง ก่อนการตัดสินใจลงทุน
นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เราคาดว่าตลาดน่าจะยังคงให้ความสนใจกับปัญหาในตะวันออกกลางและราคาน้ำมัน แต่เนื่องจากปัจจัยด้านพื้นฐานหรือความต้องการที่แท้จริงยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ เราจึงมองว่าราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นมาอย่างรวดเร็วในช่วงนี้เป็นผลพวงจากความกังวลเป็นหลักซึ่งน่าจะส่งผลบวกต่อราคาน้ำมันเพียงขณะหนึ่ง ในแง่ของสถานการณ์ในลิเบียต่อการผลิตน้ำมันนั้น จากข้อมูลการผลิตน้ำมันของกลุ่ม OPEC พบว่า แท้จริงแล้วลิเบียมีสัดส่วนการผลิตน้ำมันเพียง 5.3% เมื่อเทียบกับปริมาณการผลิตทั้งหมดของกลุ่มซึ่งไม่มากนักเมื่อเทียบกับสมาชิกอื่น ขณะที่ปริมาณน้ำมันสำรองก็ไม่ได้มีมากนัก
ดังนั้นหากเกิดปัญหาเกี่ยวการผลิตขึ้นในลิเบียขึ้นจริงสมาชิกอื่นอย่างซาอุดิอาระเบียก็สามารถเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อชดเชยการลดลงดังกล่าวได้ ดังนั้น นักลงทุนที่ต้องการเข้าเก็งกำไรในกองทุนน้ำมันด้วยประเด็นดังกล่าว ควรต้องติดตามสถานการณ์ราคาอย่างใกล้ชิด เพราะหากสถานการณ์ความไม่สงบคลี่คลายไปหรือประเทศสมาชิกอื่นตัดสินใจเพิ่มกำลังการผลิตปัจจัยหนุนราคาระยะสั้นก็จะหมดไป
นอกจากนี้อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นข้อควรระวังคือ ความแตกต่างระหว่างราคาน้ำมันที่ได้ยินตามสื่อหรืออ่านพบในรายงานข่าวต่างๆกับราคาของสิ่งที่กองทุนน้ำมันกำลังลงทุนอยู่ โดยกองทุนน้ำมันของไทยที่มีอยู่ในตลาดขณะนี้ ทุกกองมีลักษณะเป็น Feeder fund ที่ไปลงทุนในกองทุนหลักที่ชื่อ Powershares DB Oil Fund หรือเรียกสั้นๆว่า DBO โดยกองทุนหลักดังกล่าวไม่ได้ซื้อน้ำมันดิบมาเก็บไว้จริงๆ แต่จะทำการลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ WTI Light Sweet Crude Oil เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี Deutsche Bank Liquid CommodityIndex - Optimal Yield Oil Excess Return
ทั้งนี้สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ WTI Light Sweet Crude Oil มีสินทรัพย์อ้างอิงคือน้ำมันดิบ WTI (West Texas Intermediate) ซึ่งเป็นน้ำมันดิบที่มีแหล่งผลิตในแถบ Midwest และ Gulf Coast ของสหรัฐ ด้วยเหตุที่ WTI เป็นน้ำมันดิบคุณภาพดีและมีสภาพคล่องสูงจึงถูกใช้เป็น benchmark สำหรับการออกสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงราคาน้ำมันดิบในตลาดสหรัฐหรือ New York Mercantile Exchange (NYMEX) ดังนั้น เวลาที่นักลงทุนได้ยินการรายงานถึงราคาน้ำมันดิบ NYMEX ก็จะหมายถึงราคาของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ WTI ที่ตลาด NYMEX ซึ่งสามารถแบ่งย่อยได้อีกตามวันส่งมอบหรือวันหมดอายุที่กำหนดในสัญญา
โดยในปัจจุบันสัญญาที่กองทุน DBO ถืออยู่คือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบส่งมอบเดือนกรกฎาคม 2554 ขณะที่ราคาน้ำมันที่เรามักได้ยินตามรายงานข่าวต่างๆจะเป็นราคาของสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าเดือนที่ใกล้ที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าราคาของสัญญาเดือนใกล้จะเปลี่ยนแปลงและผันผวนมากกว่าเดือนไกล ดังนั้น การรายงานราคาน้ำมัน NYMEXที่นักลงทุนมักได้ยินบ่อยๆจึงไม่ใช่ราคาของสัญญาที่กองทุนถืออยู่ จึงไม่ได้สะท้อนการเปลี่ยนแปลงใน NAV หรือผลตอบแทนของกองทุนได้ทั้ง100% และเนื่องจาก WTI มีแหล่งผลิตในสหรัฐ ดังนั้น เหตุการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือในช่วงที่ผ่านมาจึงส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบ NYMEX ไม่มากเท่าราคาน้ำมันดิบ Brent ซึ่งเป็น benchmark ราคาน้ำมันในยุโรปและแอฟริกาและอยู่ในตระกร้าราคาน้ำมันของ OPEC (OPEC Basket Price)
อย่างไรก็ตามผลจากประเด็นเรื่องความแตกต่างของวันหมดอายุสัญญาและสินค้าอ้างอิงเห็นได้อย่างชัดเจนในช่วงที่ผ่านมา โดยหากพิจารณาเฉพาะใน เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาที่มีปัญหาในตะวันออกกลางจะพบว่า ตั้งแต่วันที่ 1-28 กพ.54 ราคาสัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบ Brent และ NYMEX ส่งมอบเดือนเมษายน.54 เปลี่ยนแปลงมากถึง +11.1% และ +6.8% ตามลำดับ แต่ NAV ของกองทุน DBO Powershares Oil Fund ในช่วงเวลาเดียวกันกลับเพิ่มขึ้นเพียง +3.3% เท่านั้น และเมื่อคิดกลับมาเป็น NAV ของกองทุนในประเทศ อัตราผลตอบแทนหรือการเปลี่ยนแปลงNAV ของแต่ละกองก็จะแตกต่างกันออกไปอีกขึ้นอยู่กับ feature ของกองทุนแต่ละกองทุน ตัวอย่างเช่น วันในการคำนวณ NAV ทั้งนี้ ที่ผ่านมาเราพบว่า ในช่วงที่ราคาน้ำมันดิบมีความผันผวนมาก กองทุนน้ำมันในประเทศที่มีการใช้ NAV ของกองทุน DBO ในคืนที่มีการส่งคำสั่งซื้อขายกองทุน เช่น K-OIL และ ASP-OIL จะสร้างผลตอบแทนได้ใกล้เคียงกับกองทุน DBO มากกว่ากองที่มีการใช้ NAV กองทุน DBO ในคืนก่อนหน้ามาคำนวณ NAV ของกองทุน นักลงทุนจึงควรศึกษาความแตกต่างดังกล่าวและเปรียบเทียบการเคลื่อนไหว NAV ของกองทุน DBO ทุกครั้ง ก่อนการตัดสินใจลงทุน