"จุมพล" ซีอีโอใหม่บลจ.ไอเอ็นจี ตั้งเป้าเอยูเอ็มปีกระต่ายทองขอโต 20% พร้อมรุกให้บริการนักลงทุนแบบ" Wealth Management" ล่าสุดเตรียมส่งกองทุนทริกเกอร์ฟันด์และกองทุนFIF ลงทุนหุ้นในสหรัฐฯ ขายไอพีโอในไตรมาสที่ 1
นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในปี 2554 นี้ทางเราตั้งเป้ามูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) เติบโตประมาณ 20% จากกองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนส่วนบุคคล โดยเราจะมุ่งเน้นการให้บริการแบบ Wealth Management มากขึ้น ซึ่งบลจ.จะไม่เน้นการตลาดแบบโปรดักส์พุช (product push )คือมีกองทุนอะไรใหม่ออกมาก็จะนำเสนอให้กับนักลงทุน แต่เราจะปรับเปลี่ยนเป็นการดูแลและเป็นที่ปรึกษาให้กับนักลงทุนมากขึ้น เช่นเสนอการจัดสรรการลงทุนที่เหมาะสมให้กับนักลงทุน หรือ Asset Allocation เป็นต้น
"เรามองว่าการลงทุนที่เหมาะสมกับนักลงทุนเป็นการลงทุนที่ดีที่สุด โดยบลจ.ไอเอ็นจี จะให้ความสำคัญการลงทุนในรูปแบบดังกล่าวให้มากขึ้น เช่นดูช่วงอายุของนักลงทุน รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้มากน้อยแค่ไหน เป็นต้นซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นการตอบโจทย์การลงทุนได้ดีที่สุด" นายจุมพลกล่าว
สำหรับแผนการออกกองทุนในไตรมาส 1 นี้เรามีเเผนที่จะออกกองทุนหุ้นประเภททริกเกอร์ฟันด์ และกองทุนหุ้นต่างประเทศที่จะไปลงทุนในหุ้นของประเทศสหรัฐฯ ซึ่งเรามองว่าสหรัฐฯยังมีโอกาสที่ดีในการลงทุน ส่วนกองทุนทริกเกอร์ฟันด์นั้นจะลงทุนในหุ้นไทย โดยเรามองว่าช่วงนี้เป็นโอกาสที่ดีในการออกกองทุนประเภทดังกล่าว
อย่างไรก็ตามก่อนนี้บลจ.ไอเอ็นจี เคยออกกองทุนทริกเกอร์ฟันด์มาแล้วโดยเราใช้เวลาในการบริหารจัดการเพียง 4 เดือนเท่านั้นซึ่งผลตอบแทนก็เป็นไปตามเป้าหมายที่เราวางไว้ ส่วนของกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ที่ผ่านมาอาจมีบางกองทุนโยกย้ายเปลี่ยนบริษัทจัดการไปบ้าง อย่างไรก็ตามบลจ.ไอเอ็นจี ก็จะบริหารจัดการกองทุนอสังหาฯที่มีอยู่ให้แข็งแรงขึ้น ส่วนแผนการออกกองทุนประเภทดังกล่าวทางเรายังไม่ได้วางแผนเอาไว้
นอกจากนี้ในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ การคุ้มครองเงินฝากแบบเต็มจำนวนจะสิ้นสุดลง และสถาบันคุ้มครองเงินฝาก จะเริ่มจำกัดวงเงินคุ้มครองเงินฝาก ซึ่งเรามองว่าตรงนี้ก็เป็นโอกาสที่ดีของกองทุนตลาดเงิน เนื่องจากกองทุนดังกล่าวจะเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น และมีความเสี่ยงต่ำ ซึ่งเรามองว่าน่าจะตอบโจทย์ให้กับลูกค้าเงินฝากได้
นายจุมพล กล่าวต่อว่า ส่วนมุมมองเศรษฐกิจไทยนั้นเรามีมุมมองที่ดีรวมถึงตลาดหุ้นด้วยซึ่งช่วงนี้อาจมีความผันผวนระหว่างทางนั้นก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนต้นทุนให้กับนักลงทุน และย้ำฐานของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯให้เติบโตได้
"นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ เรามองว่าช่วงนี้เป็นจังหวะที่ดีในการเลือกลงทุนหุ้น ซึ่งการลงทุนในตลาดหุ้นเรามองว่าการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ น่าจะมีโอกาสที่ดีกว่าและประสบความสำเร็จได้ง่ายกว่า"นายจุมพลกล่าว