"โชติกา" ปรับเกมบลจ.ไทยพาณิชย์ อุบเป้าเอยูเอ็ม เน้นเดินหน้าพัฒนาการขาย ควบคู่การให้ความรู้นักลงทุน โฟกัส 150 สาขาแบงก์แม่ ก่อนขยายฐานทั่วประเทศ สอดรับแผนแบ่งคลาสกองทุนตามความเสี่ยง ตั้งแต่ "ต่ำ-กลาง-สูง" ประเดิม "ไทยพาณิชย์คุ้มครองเงินต้น โกลด์ คอมเพล็กซ์ รีเทิร์น 1" ปั้นผลตอบแทนลิงค์ราคาทอง
นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจของบริษัทหลังจากนี้ไป 3 ปี เราจะเน้นให้ความสำคัญในเรื่องการปรับปรุงผู้ขายหน่วยลงทุน และการให้ความรู้นักลงทุนเป็นหลัก โดยในระยะแรก จะทำการคัดเลือกสาขาธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งเป็นช่องทางขายหน่วยลงทุนหลักที่มีศักยภาพ 150 สาขา ในการโฟกัสแผนดังกล่าว ก่อนจะขยายให้ครบทุกสาขาในอนาคต
นอกจากนี้ ในส่วนของการพัฒนากองทุน บริษัทจะจัดแบ่งประเภทกองทุนตามความเสี่ยง โดยแบ่งเป็นกองทุนความเสี่ยงสูง (Class A) ความเสี่ยงปานกลาง (Class B) และกองทุนความเสี่ยงต่ำ (Class C) โดยในปีนี้ จะเน้นออกกองทุนความเสี่ยงปานกลางเป็นหลัก ซึ่งกองทุนดังกล่าว จะเน้นคุ้มครองเงินต้นด้วยการลงทุนในพันธบัตรในประเทศ และเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนให้สูงมากขึ้น ด้วยการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นทองคำ น้ำมัน อัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อให้นักลงทุนเข้าใจการจัดสินทรัพย์ในการเอาชนะความผันผวน
"เราจะไม่เน้นการจัดพอร์ตให้ลูกค้าเอง โดยที่ลูกค้าและคนขายยังไม่มีความรู้หรือเข้าใจการลงทุนนั้นๆ แต่เราจะเริ่มต้นด้วยการแนะนำกองทุนความเสี่ยงปานกลางที่เน้นคุ้มครองเงินต้น และหาผลตอบแทนเพิ่มจากสินทรัพย์เสี่ยง เพื่อให้นักลงทุนมีความเข้าใจก่อน หลังจากนั้น หากลูกค้าเข้าใจแล้ว ก็จะแนะนำการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงสูง หรือกองทุน Class A ต่อไป โดยในระยะแรก จะใช้ 150 สาขาในการโฟกันเรื่องนี้"นางโชติกากล่าว
ทั้งนี้ ในระหว่างวันที่ 25 - 31 มกราคมนี้ บริษัทเตรียมเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดไทยพาณิชย์คุ้มครองเงินต้น โกลด์ คอมเพล็กซ์ รีเทิร์น 1 ด้วยขนาดของกองทุน 2,000 ล้านบาท อายุโครงการ 1 ปี ซึ่งจะนำไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทยเพื่อคุ้มครองเงินต้น และสัญญาออปชั่นที่อ้างอิงกับราคาทองคำในตลาด London ภาคบ่าย (GOLDLNPM) เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนสูงสุด 4.5 % หากราคา GOLDLNPM อยู่ในช่วง +/-15% ของราคา GOLDLNPM ณ วันจดทะเบียน ทุกวันทำการที่ประกาศราคา ตลอดอายุกองทุน
นางโชติกากล่าวต่อว่า ในสาวนของกองทุนความเสี่ยงต่ำ ก็จะเน้นการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ที่หลากหลายมากขึ้นและสามารถสร้างแรงจูงใจด้านผลตอบแทนแก่นักลงทุน เช่น กองทุนพันธบัตรต่างประเทศที่มีการจัดอันดับเครดิตมั่นคงสูงแต่ให้ผลตอบแทนดีกว่า เช่น ประเทศอิสราเอล หรือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) หรือพันธบัตรต่างประเทศที่ให้ผลตอบแทนสูงหลังหักต้นทุนป้องกันความเสี่ยงค่าเงินแล้ว ส่วนกองทุนที่ซื้อขายอยู่ในปัจจุบันทั้งกองทุนหุ้น กองทุน LTF กองทุน RMF ก็จะเน้นการบริหารจัดการเพื่อสร้างผลการดำเนินงานที่น่าพึงพอใจให้กับผู้ถือหน่วยมากขึ้น
ในขณะที่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุนส่วนบุคคล ก็จะเน้นการขยายตลาดมากขึ้น โดยในส่วนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จะเน้นลูกค้าเอกชนขนาดเล็กและขนาดกลางที่เป็นฐานลูกค้าของธนาคารไทยพาณิชย์เป็นหลัก พร้อมๆ กับการรักษาฐานลูกค้าเก่าเอาไว้ โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ โดยมีเป้าขยายฐานเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 100-150 บริษัท ส่วนกองทุนส่วนบุคคล ก็จะขยายตลาดไปทั้งกองทุนต่างประเทศ บริษัทต่างประเทศ รวมถึงบริษัทประกัน ที่ต้องการให้เราบริหารเงินให้
โดยในสิ้นปีนี้ เราตั้งเป้าขยายพอร์ตจาก 10,000 ล้านบาทในปัจจุบันเป็น 25,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา สินทรัพย์รวม (Asset Under Management) หรือ AUM ของบริษัท ขยายตัวประมาณ 13.4 % ด้วยมูลค่ารวมประมาณ 564,000 ล้านบาท ซึ่งมีเม็ดเงินใหม่เข้ามาทั้ง 3 ธุรกิจรวมประมาณ 66,000 ล้านบาท
ส่วนการบุกเบิกช่องทางการจำหน่ายใหม่ในลักษณะ Alternative Distribution Channels ด้วยการรับสมัครผู้แทนขายอิสระ หรือ Independent Investment Planner (IIP) ที่บริษัทริเริ่มเป็นรายแรกในปีที่ผ่านมานั้น นับว่าประสบความสำเร็จเป็นไปตามเป้าหมาย โดยสามารถทำยอดขายได้ถึง 3,800 ล้านบาทจาก IIP ที่สมัครเข้ามาปีแรก 69 ราย โดยคาดว่าในปีนี้ จะมีผู้สมัครเข้ามาเพิ่มอีกกว่า150 ราย
“ปีนี้ โจทย์ใหญ่สำหรับธุรกิจกองทุนรวมคือการระดมเงินฝากของธนาคารพาณิชย์เพื่อขยายการลงทุนภาคธุรกิจ ดังนั้น เราจึงต้องรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ให้ได้ ซึ่งเราหวังว่าจะสามารถเติบโตได้จากการขายผ่านช่องทางใหม่ๆรวมทั้งจากผลตอบแทนการลงทุนที่มาจากการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ” นางโชติกา กล่าว