xs
xsm
sm
md
lg

ThaiBMAคาดทั้งปีดบ.ขึ้น1% เอื้อเอกชนออกหุ้นกู้3แสนล้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อริยา ติรณะประกิจ
สมาคมตราสารหนี้ไทย คาดดอกเบี้ยปรับขึ้นอีก 0.5% - 1%  กระตุ้นเอกชนออกหุ้นกู้เพิ่ม คาดทั้งปีมูลค่ารวม 3 แสนล้าน เครือ ปตท. กลุ่มแบงก์ตัวนำ ในขณะที่ตราสารหนี้ภาครัฐ จ่อเข็นพันธบัตรระยะยาวและพันธบัตรที่อิงกับอัตราเงินเฟ้อ ทดลองตลาด

  นางสาวอริยา ติรณะประกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสมาคมตราสารหนี้ไทย หรือ ThaiBMA เปิดเผยถึงแนวโน้มการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ว่า  ในปีนี้คาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะมีการปรับเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 0.5% - 1% ซึ่งจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ จะส่งผลให้ภาคเอกชนมีการระดมทุนผ่านตราสารหนี้อย่างต่อเนื่องตามเศรษฐกิจที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของหุ้นกู้เอกชนออกใหม่ในปีนี้ คาดว่าน่าจะมีประมาณ 300,000 ล้านบาท ขณะที่การซื้อขายในตลาดรอง น่าจะได้รับปัจจัยบวกจากเม็ดเงินจากต่างชาติ ซึ่งขณะนี้ได้มีการทยอยเข้ามาซื้ออย่างต่อเนื่อง แต่อาจจะเป็นการซื้อขายในพันธบัตรที่มีอายุเฉลี่ยสั้น ๆ ไม่มากนัก

 ส่วนภาครัฐเอง ในปีนี้จะมีการออกตราสารหนี้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งในไตรมาส 1 - 2 นี้คาดว่ารัฐบาลจะออกพันธบัตรอายุ 50 ปี มูลค่าวงเงินประมาณ 4,500 ล้านบาท ขณะเดียวกันรัฐบาลยังมีแผนที่จะออกออกพันธบัตรประเภท Inflation link note (พันธบัตรที่อิงกับอัตราเงินเฟ้อ) โดยผู้ลงทุนจะได้รับเงินต้นบวกอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี จากเดิมที่เมื่อถือครบอายุจะได้รับคืนเฉพาะเงินต้น แต่ในยามที่เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นเงินต้นเมื่อได้คืนเมื่อครบกำหนดก็มี ด้อยค่าลง ดังนั้นการออกพันธบัตรที่อิงกับเงินเฟ้อก็จะทำให้ผู้ลงทุนได้รับเงินต้นบวกเงินเฟ้อด้วย

 "ก่อนหน้านี้เอง บริษัท ปตท. ได้ทดลองตลาดออกหุ้นกู้อายุ 100 ปี ออกมาและมีกลุ่มที่ต้องการเข้าไปลงทุนพอสมควร ดังนั้น รัฐบาลจึงมองว่าถ้าออกพันธบัตรอายุ 50 ปี ลูกค้ากลุ่มนี้ก็ยังต้องมีอยู่แน่นอน  และจากการทำรัฐบาลออกพันธบัตรหลาย ๆ รูปแบบอย่างนี่ก็จะทำให้นักลงทุนมีทางเลือกมากยิ่งขึ้นในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวเพิ่มขึ้น” 

ทั้งนี้ คาดว่ากลุ่มบริษัทใหญ่ ๆ อย่างเครือ ปตท. น่าจะมีการออกหุ้นกู้เพิ่มมากขึ้น รองลงมาจะเป็นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ขณะที่กลุ่มอสังหาริมทรัยพ์ในปีที่ผ่านมาได้มีการออกหุ้นกู้เยอะพอสมควรในปีนี้ก็จะลดน้อยลง เนื่องจากมองว่ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้จะมีการเติบโตที่ลดลงหลังจากที่รัฐบาลได้ออกมาตรการคุมเข้มสินเชื่อที่อยู่อาศัยขึ้น

นางสาวอริยา กล่าวว่า ในส่วนของผลตอบแทนของตราสารหนี้อายุ 1 ปีคาดว่าจะให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 2.2% - 2.5% ส่วนตราสารหนี้อายุ 1 - 5ปี ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 2.6% - 3.7% ขณะที่ตราสารหนี้อายุ 6- 10ปี ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 3.8% - 4.3% และตราสารหนี้อายุ ตั้งแต่ 10 ปี ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 4.4% - 5%

 ส่วนภาพรวมตลาดตราสารหนี้ในปีที่ผ่านมา นางสาวอริยา กล่าวว่า การซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้ ณ สิ้นปี 2553 มีมูลค่าการถือครองของนักลงทุนต่างชาติในตราสารหนี้เป็นสัดส่วน 4.16% ของมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ทั้งตลาด ส่วนมูลค่าการซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศ มีการซื้อสุทธิอยู่ที่ประมาณ 131,000 ล้านบาท โดยไม่รวมการซื้อขายพันธบัตรของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. เมื่อเทียบกับปี 2552 ที่มีการซื้อสุทธิอยู่ที่ 6,230 ล้านบาท โดยการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติในปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่แล้วยังคงเน้นการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นอายุไม่เกิน 1 ปี

 "หลังจากที่รัฐบาลได้ยกเลิกมาตรการยกเว้นทางภาษีของนักลงต่างชาติในการลงทุนตราสารหนี้ ทำให้นักลงทุนต่างชาติเองหันกลับเข้ามาลงทุนเพิ่มมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่แล้วยังคงเป็นพันธบัตรอายุไม่มากนัก เป็นเพียงระยะเวลาสั้น ๆ หรืออายุที่น้อยกว่า 1 ปี ซึ่งอาจจะเป็นเพราะความกังวลในเรื่องของมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาล ที่จะมีการขยายต่อไป"
นิวัฒน์ กาญจนภูมินทร์
ด้านนายนิวัฒน์ กาญจนภูมินทร์  กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย กล่าวถึงแผนพัฒนาตลาดตราสารหนี้ไทยของ ThaiBMA ว่า เราจะเพิ่มบทบาทการเป็นสื่อกลางด้านการพัฒนาตราสารหนี้ โดยเราจะเข้าไปดูว่าสถาบันทางการเงินหรือเอกชนต้องการอะไร และตั้งเป็นนโยบายขึ้นมาเพื่อนำไปเสนอให้กับภาครัฐบาลพิจารณาต่อไปเพื่อเป็นการผลักดันให้มีการขยายตลาดเพิ่มมากขึ้น

 นอกจากนี้ ยังต้องส่งเสริมการทำธุรกรรมตราสารหนี้ของ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ด้วย เพราะทุกวันนี้หลายรายที่เข้ามาลงทุนส่วนใหญ่แล้วจะไปทางธนาคารพาณิชย์มากกว่า แต่จริงๆ  แล้วทาง บล. เองก็มีฐานลูกค้าและมีรายเส้นด้านการลงทุนอยู่ เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้ารายย่อยให้เพิ่มมากยิ่งขึ้นด้วย เพราะการลงทุนในตราสารหนี้ยังคงสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝาก

นายนิวัฒน์ กล่าวต่อว่า เรายังต้องส่งเสริมการทำธุรกิจ Privat Repo โดยเน้นการทำธุรกรรมให้มีสภาพคล่องมากยิ่งขึ้นและมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันยังต้องมีการสนับสนุนการลงทุนด้านตราสารหนี้แก่นักลงทุนรายย่อยให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้แล้วยังต้องมีการพัฒนาระบบงานภายในให้มีประสิทธิภาพ โดยเน้นการพัฒนาด้านกระบวนการราคาให้มีความยุติธรรมต่อผู้ลงทุนให้มากยิ่งขึ้นด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น