xs
xsm
sm
md
lg

ความแข็งแกร่งของศก.เอเชียตัวแปรสำคัญ...ดึงเม็ดเงินต่างชาติ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ไม่เฉพาะภาพรวมเศรษฐกิจไทยเท่านั้นที่ถูกจับตามองจากนักลงทุนอยู่ในขณะนี้ แต่ภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกเอง ก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะเป็นการสะท้อนถึงความเชื่อมั่นรวมไปถึงจำนวนเม็ดเงินที่จะไหลเข้าไปลงทุนในประเทศนั้นด้วย
และผลที่จะตามมาเมื่อเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น หลายคนคงไม่ปฏิเสธว่า นั้นคือเงินเฟ้อและการขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าเศรษฐกิจได้ปรับตัวดีแล้วนั้นเอง...วันนี้ ถือโอกาสนำเสนอมุมมองเศรษฐกิจจากกูรูผู้รอบรู้ในเรื่องของเศรษฐกิจว่ามีมุมมองอย่างไรบ้าง...

 ส่องกล้องเศรษฐกิจสหรัฐฯ-จีน

  "เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ"  ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ และ Chief Economist ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB กล่าวในการเสวนา “มุมมองเศรษฐกิจโลกและทิศทางเศรษฐกิจไทยในปี 2553”ว่าภาพรวมเศรษฐกิจโลกล่าสุด พบว่าตัวเลขต่างๆเริ่มที่จะออกมาเป็นบวกมากขึ้น โดยการฟื้นตัวที่เกิดขึ้นนั้น อิงกับปัจจัยระยะสั้นมากกว่าปัจจัยระยะยาว เช่น ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาดีนั้น เพื่อเป็นการกระตุ้นความมั่นใจของนักลงทุนให้มีมากขึ้น ซึ่งตัวเลขต่างๆที่ออกมานั้นมาจากการปรับสต๊อกภายใน รวมไปถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น 4-6% ทำให้ภาพรวมต่างๆออกมาดี

แม้ว่าภาพรวมในช่วงนี้จะออกมาดี แต่ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐในช่วงครึ่งปีหลัง อัตราการเติบโตอาจจะมีแผ่วลงไปบ้าง เนื่องจากว่ายังไม่ใช่การฟื้นตัวที่แข็งแรง เนื่องจากว่าการจ้างงานยังไม่เพิ่มขึ้น อีกทั้งวิกฤตที่เกิดขึ้นในครั้งนี้นั้นร้ายแรงมาก ทำให้อีกนานกว่าที่จะทำให้การจ้างงานกลับมาเท่ากับช่วงก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ดังนั้น จึงคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะยังคงไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากว่าหลายๆปัจจัยยังมีความบอบบางอยู่

 พจน์ หะริณ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ กลุ่มธุรกิจลูกค้าและตัวแทนจำหน่าย บลจ.ไทยพาณิชย์ ได้มีมุมมองความคิดเห็นต่อเศรษฐกิจจีนว่า โดยส่วนตัวมองว่าการเติบโตของเศรษฐกิจจีนนั้นไม่สามารถที่จะทำเเทนเศรษฐกิจสหรัฐได้ เนื่องจากว่า ขนาดของเศรษฐกิจจีนเป็นเพียง 1 ใน 3 ของเศรษฐกิจสหรัฐเท่านั้น ซึ่งหากว่าจีนจะก้าวขึ้นแทนสหรัฐนั้น เศรษฐกิจจีนจะต้องโตมากกว่านี้อีกหลายเท่าตัว

อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ต่อไปมองว่าแนวโน้มเศรษฐกิจจีนนั้นค่อนข้างดี ผลตอบแทนที่ได้รับอยู่ที่ประมาณ 10% ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่าเศรษฐกิจจีนที่โตขึ้นมากจากการอัดสินเชื่อเข้าระบบอย่างต่อเนื่องในปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้สินเชื่อโตขึ้นมาก และการที่สินเชื่อโตเร็วเกินไปจะส่งผลกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ ก่อให้เกิดความวิตกกังวลต่อภาวะฟองสบู่ จึงทำให้ความเสี่ยงมีเพิ่มขึ้นด้วย และเศรษฐกิจอาจจะมีการสะดุดลงไปบ้างแต่ไม่มากนัก

ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าระยะนี้จีนได้เข้าไปแก้ปัญหาที่หวั่นว่าจะเกิดขึ้นในระยะยาวโดยการเข้าไปควบคุมการปล่อยสินเชื่อของแบงก์ให้มีการปล่อยกู้น้อยลง พร้อมแก้ปัญหาในเรื่องการเงินและเงินเฟ้อที่จะเกิดขึ้น ซึ่งจีนจะทยอยทำให้ค่าเงินมีการแข็งค่าขึ้น เพื่อช่วยในเรื่องของการส่งออกอีกด้วย

ทั้งนี้ ในส่วนของภาพรวมการลงทุนในจีนนั้น จากการที่รัฐบาลจีนออกมาเบรกมาตรการปล่อยกู้ โดยอาจจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวบ้าง แต่ก็ไม่ชะงัก และบางสินทรัพย์อาจจะได้รับผลกระทบบ้าง แต่โดยภาพรวมเศรษฐกิจโลก จะไม่ส่งผลกระทบจากจุดนี้

“อยากให้นักลงทุนจับตามองปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างจีนและสหรัฐฯในเรื่องของค่าเงินของจีนว่าจะมีแนวโน้มและทิศทางเป็นอย่างไร จะหาข้อสรุปออกมาเป็นแบบไหน”พจน์กล่าว
เขากล่าวต่อว่า เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติมองว่าเศรษฐกิจเอเชียมีความแข็งแกร่ง ไม่มีความน่าเป็นห่วงในทุกๆเรื่อง จึงทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในเอเชียเป็นจำนวนมาก โดยกระจายเข้าไปลงทุนยังประเทศต่างๆในทวีปเอเชีย อีกทั้งความเสี่ยงที่ได้รับจากการลงทุนมีน้อยเมื่อเทียบกับยุโรปและอเมริกา ซึ่งประเทศที่น่าสนใจอยู่ในขณะนี้ได้แก่”จีน”และ”เกาหลีใต้”เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่นั้นมองหาการประเทศที่มีการเติบโตและมีศักยภาพ ซึ่ง 2 ประเทศดังกล่าวนั้นสามารถตอบโจท์นี้ได้”พจน์กล่าว

 ประเมินทิศทางดอกเบี้ยไทย
 “เศรษฐพุฒิ “ บอกว่า สำหรับเศรษฐกิจไทยนั้น หากจะเทียบปัจจัยเรื่องโครงการมาบตาพุดที่เกิดขึ้นต่อการเมือง ว่าปัจจัยไหนจะส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจมากกว่ากัน โดยส่วนตัวมองว่า ปัจจัยในเรื่องของมาบตาพุดนั้น จะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ในเรื่องของความมั่นใจของนักลงทุน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากสำหรับนักลงทุน
โดยปัจจัยนี้ได้ส่งผลกระทบการลงทุนโดยตรง เพราะหากไม่เกิดปัญหาขึ้นจะทำให้นักลงทุนรวมถึงเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดการจ้างงาน ความมั่นใจของนักลงทุนด้วย อีกทั้งทำให้นักลงทุนมีทางเลือกในการลงทุนเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ปัญหาเรื่องมาบตาพุดที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยไม่สามารถที่จะคาดการณ์ได้
ขณะเดียวกันในส่วนของปัจจัยทางด้านการเมืองนั้น จะส่งผลกระทบต่อการลงทุนในระยะสั้น โดยจะกระทบต่อการเข้ามาของนักท่องเที่ยว ที่คาดว่าจะกลับมาดีในปีนี้จากการที่นักท่องเที่ยวเริ่มเข้าท่องเที่ยวในไทยมากขึ้น
นอกจากนี้ ปัจจัยทางด้านการเมืองจะส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของภาครัฐ ทำให้การกระตุ้นเศรษฐกิจเกิดการชะลอตัว เนื่องจากว่าการเบิกจ่ายเม็ดเงินที่ชะลอตัวตามไปด้วย ส่วนการลงทุนนักลงทุนต่างชาติมีความเข้าใจต่อปัญหาที่เกิดขึ้น จึงจะเห็นได้ว่าแม้จะมีการชุมนุม แต่ก็ไม่เกิดความรุนแรงขึ้น อีกทั้งตลาดหุ้นไทยก็ไม่ได้ปรับตัวลดลง ยังคงมีเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจไทย
 สำหรับทิศทางดอกเบี้ยภายในประเทศ คาดการณ์ว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจจะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนมิถุนายน 2553 ซึ่งถือว่าเร็วกว่าที่คาดไว้เดิมว่าจะเริ่มปรับขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะมีการทยอยปรับขึ้นภายในปีนี้เฉลี่ยประมาณ 0.50-0.75% และปี 2554 จะปรับขึ้นอีก 0.75%

ก่อนหน้านี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาส่งสัญญาณถึงแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างชัดเจนแล้ว แต่ก็เชื่อว่าจะไม่รีบร้อน และจะทยอยปรับขึ้น เนื่องจากคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ก็คงไม่รีบปรับขึ้นดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้เช่นกัน และการทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยก็จะทำให้ไม่ส่งผลกระทบให้เงินบาทแข็งค่า

“ สาเหตุที่ ธปท.ออกมาส่งสัญญาณการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำมานานมากแล้ว และอัตราเงินเฟ้อในขณะนี้ก็เร่งตัวขึ้นมามากกว่าอัตราผลตอบแทนของเงินฝาก ขณะที่มองว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ไม่น่าจะกระทบกับภาพรวมเศรษฐกิจอย่างรุนแรง เพราะการลงทุนในขณะนี้ก็ไม่ได้ขยายตัวมากอยู่แล้ว และยังมีปัจจัยทางด้านการเมืองและมาบตาพุดด้วย”เศรษฐพุฒิ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น