บลจ.ไทยพาณิชย์ วางเป้าเอยูเอ็มปีเสือโต 100,000 ล้านบาท ประกาศรั้งแชมป์เบอร์หนึ่งกองทุนรวมและสำรองเลี้ยงชีพต่อ พร้อมขยับสัดส่วนพึ่งการขายของตัวเองมากขึ้น หวัง 3 ปี ดันรายได้โต 20%
นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปี 2553 ว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าการขยายตัวของสินทรัพย์รวม (Asset Under Management) หรือเอยูเอ็ม อยู่ที่ 20% หรือ 100,000 ล้านบาท จากสิ้นปี 2552 ที่ เอยูเอ็มโตขึ้นถึง 40% หรือประมาณ 495,000 ล้านบาท ขณะที่อุตสาหกรรมกองทุนรวมโตขึ้น 20% และบริษัทได้ตั้งเป้าเป็นอันดับ 1 ในธุรกิจกองทุนรวมเช่นเดิม รวมทั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพด้วย โดยเรามองว่า การเพิ่มขึ้นของเอยูเอ็มอีก 100,000 ล้านบาทนั้น จะมาจากกลุ่มลูกค้าเงินฝาก ซึ่งบริษัทเองมีกลยุทธ์ที่จะทำให้เอยูเอ็มโตขึ้น ผ่านผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย และการเพิ่มช่องทางการขายใหม่ให้แก่นักลงทุนด้วย
โดยปัจจุบัน บลจ.มีสัดส่วนการขายส่วนใหญ่มาจากสาขาแบงก์แม่ถึง 92% แต่ในปีนี้ เรามีแผนจะเพิ่มสัดส่วนจากการขายของบริษัทเอง รวมถึงช่องทางอื่นๆ เพิ่มขึ้นเป็น 30% ซึ่งจะทำให้สัดส่วนการขายผ่านแบงก์ลดลงเหลือ 70% โดยจากแผนดังกล่าว เราคาดการณ์ว่าจะทำให้เรามีรายได้ เพิ่มขึ้น 20% ในอีก 3 ปีข้างหน้านี้
"แนวทางการดำเนินงาน จะยึดแนวคิดการทำงานแบบไปด้วยกันกับธนาคารไทยพาณิชย์ด้วยการประสานงานอย่างใกล้ชิดมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่มีเงินลงทุนสูง (High net worth) ซึ่งธนาคารจะมีการวิเคราะห์ความเสี่ยงที่ลูกค้าจะรับได้ และบลจ.จะมีทีมงานทำหน้าที่จัดพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมให้แก่ลูกค้าแต่ละราย พร้อมกันนี้ก็จะขยายฐานกลุ่มลูกค้ารายย่อยที่ปัจจุบันมีอยู่ 400,000 ราย ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์กองทุนรวมแบบสำเร็จรูปที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคน เพื่อให้เกิดความชัดเจนและง่ายต่อการตัดสินใจลงทุนแต่คงนโยบายให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารพาณิชย์"นางโชติกา
ในส่วนของนโยบายการออกกองทุนนั้น บริษัทจะเน้นกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่จะนำเสนอกองทุนตราสารหนี้ระยะยาวมากขึ้นเพื่อล็อคผลตอบแทน โดยจะยังผสมผสานกับกองทุนระยะสั้น ระยะกลางที่ออกมาต่อเนื่องเพื่อเพิ่มความหลากหลายให้แก่นักลงทุน ส่วนแผนเพิ่มทุนกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทลโกรท (CPNRF) เพื่อลงทุนในศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า เชียงใหม่แอร์พอร์ต คาดว่าจะดำเนินการได้ในช่วงประมาณไตรมาส 2 รวมถึงกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่มีนโยบายจัดโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นให้มีการออมระยะยาว
สำหรับโปรดักส์ใหม่ นางโชติกากล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 2 นี้เราจะมีกองทุนใหม่ออกมาเป็นทางเลื้อกให้ลูกค้า โดยเป็นกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ เพื่อเพิ่มทางเลือกการกระจายการลงทุนไปยังประเทศอื่นๆแทนการลงทุนในเกาหลีใต้ ซึ่งบลจ.มองว่า การลงทุนในเอเชีย ยังให้ผลตอบแทนที่ดีเมื่อเทียบกับทวีปอื่น โดยบริษัทจะเลือกลงทุนในประเทศที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนลงในประเทศไทย มีความเสี่ยงด้านเครดิตเรตติ้งที่ดีกว่าไทย
ส่วนแนวโน้มการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยปีนี้ มองว่าดัชนีปีนี้จะมีความผันผวน โดยแกว่งตัวอยู่ที่กรอบประมาณ 680- 800 จุด และคาดว่าประมาณปลายปี 2553นี้ ดัชนีจะสามารถปรับตัวแตะ 800 จุดได้ ซึ่งมาจากเม็ดเงินไหลเข้าจากนักลงทุนต่างชาติ ที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ขณะที่ปัจจัยทางการเมืองที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ มองว่าไม่ได้ส่งผลกระทบทางตรงต่ออุตสาหกรรมกองทุนรวม เนื่องจากนักลงทุนมีความเข้าใจดีเกี่ยวกันการลงทุนผ่านกองทุนรวม แต่จะส่งผลกระทบทางอ้อมต่อกองทุนรวมมากกว่า